เมื่อชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงมีแต่ความจำเจ มืดมน และเจ็บปวด บางครั้งการหลบหนีออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นดูจะเป็นทางออกที่ง่ายและน่าดึงดูดใจมากที่สุด หลายคนจึงมักหันไปดื่มเหล้า เล่นพนันเพื่อช่วยให้ลืมความเป็นจริงชั่วขณะ หลายคนหันไปสร้างโลกอีกใบในโซเชียลมีเดีย ในขณะที่อีกหลายคนเลือกการเดินทางเป็นทางออก นี่คือนิยามคร่าวๆของคำว่า escapism ที่ขอบเขตของมันไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเหลือเกินบทความนี้ผู้เขียนจะพาไปแนะนำ 5 ภาพยนตร์แด่เหล่านักแสวงหาที่ตัดสินใจหนีบางสิ่ง เพื่อออกไปค้นหาบางอย่างให้กับชีวิต บทสรุปของแต่ละเรื่องจะใช่คำตอบสุดท้ายที่แต่ละตัวละครเฝ้าตามหาหรือไม่ ไปติดตามกันเลยThe Talented Mr. Ripley (1999)เปิดกันที่เรื่องแรกกับการบอกเล่าเรื่องราวของ ทอม ริปลี่ย์(แมตต์ เดมอน) บัณฑิตหนุ่มผู้ฉลาดเฉลียวแต่มีฐานะไม่ค่อยดีสักเท่าไร ได้รับการไหว้วานจากมหาเศรษฐีในนิวยอร์คให้ไปตามตัวลูกชาย ดิ๊กกี้(จู๊ด ลอว์) ที่หลบไปใช้ชีวิตเสเพลอยู่ที่อิตาลีกับแฟนสาวของเขา มาร์ช เชอร์วู้ด(กวินเน็ธ พัลโทรว์) กลับมาทำงานที่บ้าน ความน่าสนใจของหนังเริ่มไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อริปลี่ย์เริ่มตีซี้สนิทสนมกับดิ๊กกี้แทนที่จะชวนกลับบ้าน จนเราเริ่มสงสัยในจุดประสงค์ของตัวละครนี้ว่าตัวเขาต้องการอะไรกันแน่ ถ้าเราสังเกตแรงผลักดันลึกๆของทั้งสามตัวละครหลักดีๆ ทุกคนล้วนแล้วแต่หลบหนีมาจากสภาพความเป็นอยู่ในโลกของตัวเองที่ไม่ต้องการทั้งนั้น แม้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังอาจจะมาจากคนละสาเหตุก็ตามที ซึ่งบทสรุปสุดท้ายก็เหมือนการเอาไม้หน้าสามฟาดเข้าที่คนดูเพื่อเรียกสติอย่างจังว่านี่แหละ คือคำตอบที่ชื่อเรื่องมันถูกตั้งมาอย่างนี้• แรงจูงใจการหลบหนี: 1. ความหวาดกลัวที่จะล้มเหลว 2. สภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องการ Eat Pray Love (2010)ธีมหลักๆ ของเรื่องนี้เป็นอะไรที่ซื้อใจคนดูได้ง่าย เพราะมันเหมาะแก่การไปตามรอยสถานที่ในหนังเป็นอย่างมาก แต่พักเรื่องนั้นแล้วมาเข้าเรื่องกันดีกว่า หนังแหย่แนวคิดมาว่า บางคนการมีการงาน การเงิน และครอบครัวที่มั่นคง ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะมีความสุขกับชีวิตเสมอไป ในทางกลับกันมีคนจำนวนมากเช่นกันที่คิดคล้ายๆกับตัวละครเอกของเรื่อง เอลิซาเบธ(จูเลีย โรเบิร์ตส์) ที่เลือกหันหลังให้กับชีวิตและไปค้นหาความสุขใหม่ๆในสถานที่ใหม่ๆ สำหรับเธอ อิตาลี อินเดีย และบาหลี คือจุดหมายปลายทางของการหลบหนีแม้ว่าถ้าวิเคราะห์ในเชิงลึกการกระทำของเอลิซาเบธหลายๆอย่างคือการใช้ต้นทุนที่นางมีอยู่แล้วในการซื้อหาสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิต ทุกอย่างในเรื่องจึงดูง่ายและสนุก แต่นั่นก็ดูเป็นความคิดที่ตื้นเขินไปสักหน่อย เพราะคนส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ทำงานเพื่อเก็บเงินไปใช้ซื้อความสุขในการท่องเที่ยวด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันตรงที่ตัวเอลิซาเบธเองมีเงินมากพอที่จะยืดเวลาแลกกับการค้นหาสมดุลของความสุขให้กับตัวเองได้นานกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง• แรงจูงใจการหลบหนี: การค้นหาสิ่งแปลกใหม่ Into the Wild (2007)เรื่องราวของนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่มาหมาดๆ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนด์เลสส์(เอมิล เฮิร์ช) แต่กลับเลือกทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งครอบครัว หน้าที่การงาน และอนาคต เพื่อเข้าสู่ป่าตามหาความหมายของการใช้ชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบเสมือนเป็นอาจารย์ใหญ่ของหนังในหมวดนี้เพราะมักจะเป็นเรื่องแรกที่คนดูส่วนใหญ่มักนึกถึงหากต้องการที่จะหลบหนีจากความเป็นจริง ตลอดเรื่องราวการผจญภัยของเขาเพื่อไปสู่อลาสก้า เขาพบผู้คนมากมายที่คอยช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดีหรือแม้แต่คนที่มีทัศนคติต่อการใช้ชีวิตคล้ายๆกันจนทำให้เขารู้สึกว่าเขาเกือบจะอยู่ในจุดที่น่าพึงพอใจแล้วในชีวิตนี้ แต่สิ่งเดียวที่ผลักดันให้เขาไปต่อนั่นก็คือ ความตั้งใจที่จะไปให้ถึงอลาสก้า ซึ่งท้ายที่สุดเครื่องเตือนใจที่สำคัญจากหนังเรื่องนี้ที่น้อยคนมักจะทำกันได้นั่นก็คือ การที่เรารู้ว่าจังหวะไหนควรไปต่อหรือควรหยุด• แรงจูงใจการหลบหนี: ชีวิตในโลกความเป็นจริงที่ไม่ต้องการ(ระดับสูงมาก) Vicky Cristina Barcelona (2008)หนังว่าด้วยเรื่องของสองสาวนักศึกษาเพื่อนรักที่เลือกเมืองบาร์เซโลน่าเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวและตามหาสิ่งที่แต่ละคนขาดไปจากในชีวิตจริง อุปนิสัยของสองคนที่แม้จะเป็นเพื่อนรักกันแต่ก็ต่างกันชนิดฟ้ากับเหว คนหนึ่งบูชาเรื่องสิทธิและอิสรภาพไว้เหนือสิ่งอื่นใด สนใจในปรัชญา วัฒนธรรมและความแปลกใหม่ ในขณะที่อีกคนกลัวการใช้ชีวิต จึงชอบที่จะให้ถูกตีกรอบหรือมีกติกาขีดคร่อมไว้ให้ แต่การเข้ามาของหนุ่มสเปนคนหนึ่งได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกเธอไปทั้งคู่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นส่วนผสมระหว่างหนังเชื้อเชิญให้ท่องเที่ยวกับตัวละครที่ฝักใฝ่การค้นหาความหมายในชีวิต คำตอบสุดท้ายที่ได้มาของแต่ละคนจากบทเรียนชีวิตในครั้งนี้อาจจะไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนมันเหมือนการที่ต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ การค้นพบตัวเองให้เจอมากกว่า• แรงจูงใจการหลบหนี: การค้นหาตัวเอง Leave No Trace (2018)ถ้าเรื่อง Into the Wild คือการเข้าป่าหาชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมือนเป็นด้านกลับของหนังเรื่องนั้นเพราะนี่คือการเข้าป่าหนีชีวิต หนังบอกเล่าเรื่องราวของพ่อผู้เป็นทหารผ่านศึกได้ตั้งแคมป์กึ่งถาวรอยู่อาศัยในอุทยานแห่งชาติอย่างผิดกฎหมายกับลูกสาว สตอรี่หลักของเรื่องจริงๆมันมีเพียงแค่นี้แหละ คำถามสำคัญที่หนังนำทางเราไปตลอดทั้งเรื่องนั่นก็คือ สาเหตุอะไรที่ทำให้พ่อลูกคู่นี้หันหลังให้กับชีวิตปกติแบบคนทั่วไปแล้วเลือกมาดำรงชีวิตอยู่ในป่าแทน ความจริงแล้วในปีไล่เลี่ยกันมีหนังอีกเรื่องหนึ่งที่มีธีมคล้ายๆกันแต่จะอาจจะมีมู้ดที่ค่อนข้างสดใสกว่านั่นก็คือ Captain Fantastic สาเหตุที่เราเลือกเรื่องนี้มานั่นก็เพราะ บทสรุปส่งท้ายที่ทำให้เราเข้าใจจริงๆว่าบางบาดแผล สถานที่หรือเวลาไม่ได้ช่วยเยียวยาอะไรแต่การหลบหนีต่างหากที่ช่วย• แรงจูงใจการหลบหนี: ความเจ็บปวดในอดีต เมื่อใดก็ตามที่คนเราเลือกจะหลบหนีจากความเป็นจริงโดยหันหน้าเข้าสู่สิ่งที่เราคิดว่ามันจะช่วยเยียวยาได้ มันเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกเพราะคนส่วนใหญ่จะมีความสุขกับการหลบหนีของตัวเองมากๆ จนเลือกที่จะอยู่กับมันไปเรื่อยๆจนกลายเป็นการเสพติดสิ่งนั้นไป แต่บทเรียนสำคัญสำหรับเรื่องนี้ก็คือ มันมีผลลัพธ์ที่เราต้องแลกมาในท้ายที่สุดอยู่ดี บางครั้งคือเงินทอง เวลา สภาพร่างกาย บางคราวถึงกับต้องแลกด้วยชีวิต หรือทว่าสิ่งที่บางคนถวิลหาจริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่การหลบหนี แต่มันคือ ‘สมดุลของการมีชีวิตที่แท้จริง’ ที่คนบางคนขาดและเฝ้าตามหามันมาตลอด เครดิตรูปภาพ หน้าปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3 / รูปที่ 4 / รูปที่ 5 ออกแบบรูปประกอบและหน้าปกโดย canva.com