Photo by pexels.com ในช่วงที่สังคมบ้านเรากำลังวุ่นวายจากเหตุการณ์ไวรัสระบาดแบบนี้ บริษัทหลายแห่งได้ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกเพื่อให้เรายังทำงานต่อได้และช่วยให้บริษัทยังไปต่อได้โดยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยในความปลอดภัยของลูกจ้าง และทำให้เราอยากจะลุยงานต่ออย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกันบางบริษัทก็เผยให้เห็นมุมมองและวิธีการจัดการกับปัญหาที่สุดจะไม่แยแสจิตใจพนักงานจนเห็นแล้วเราอยากจะร้องดัง ๆ ว่า "โอ๊ยยย...เจ็บไปทั้งหัวใจทำไมยังทน" หากใครกำลังวางแผนทำงานไปยาว ๆ กับที่ทำงานปัจจุบัน ขอให้ใจเย็น ๆ และสังเกตุก่อนว่าตอนนี้เราเจอกับ 3 สิ่งที่บริษัททำให้เราอยากลาออกในช่วง Covid-19 หรือไม่? ถ้าหากว่าใช่ การเก็บกระเป๋าแล้วบอกลาต้นสังกัดปัจจุบันเพื่อร่วมงานกับบริษัทที่ให้ความใส่ใจกับบุคลากรมากกว่านี้ก็ดูเป็นความคิดที่เข้าท่ากว่าแน่ ๆ 1. เมินเฉยกับสถานการณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของบุคลากร อย่างเช่นโรคระบาดรุนแรงแบบในตอนนี้ สิ่งแรกที่ทางบริษัททำได้ง่ายและไม่ควรเพิกเฉยคือการแจ้งให้ทุกคนรับทราบข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบันผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเร็วที่สุด รวมถึงการแจ้งแนวทางปฏิบัติคร่าว ๆ ถ้าจนถึงตอนนี้ใครยังไม่ได้ email แจ้งให้กักตัวหลังกลับจากพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาด หรือประกาศให้ใส่หน้ากากอนามัยและล้างมืออย่างถูกวิธี ก็น่าจะเป็นความคิดที่ไม่ดีถ้าจะฝากอนาคตของเราไว้กับองค์กรที่ไม่เห็นความสำคัญกับเรื่องจำเป็นนี้ Photo by pexels.com 2. ต้องเสี่ยงเดินทางเพื่อมา office ทั้งที่สามารถ work from home ได้ ตอนนี้หลายที่เริ่มปฏิบัติการ work from home กันแล้ว แต่ก็ยังมีออฟฟิศหลายแห่งที่ยังให้พนักงานมาทำงานเหมือนปกติ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากงานนั้นเกี่ยวข้องกับความลับหรือมีข้อจำกัดต่าง ๆ แต่ในงานที่สามารถนำกลับมาทำที่บ้านได้นั้น การไม่มีมาตรการในเรื่องนี้เพื่อลดความเสี่ยงของพนักงานหรืออย่างน้อยคำชี้แจงที่เหมาะสมดูเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเรามาก Photo by pexels.com 3. การดูแลอย่างไม่เท่าเทียม สืบเนื่องจากข้อที่ผ่านมา ลำพังแค่การเมินเฉยหรือไม่ให้เรา work from home ทั้งที่ทำได้ก็แย่แล้ว แต่นี้ยังต้องเห็นว่าคนอีกแผนกอัพรูปว่านั่งทำงานชิล ๆ ที่บ้านในขณะที่เรายังต้องแบกตัวเองมาออฟฟิศมันจะทำให้เราน้อยใจขนาดไหน ถ้าทาง HR ไม่มีเหตุผลที่ดีมาอธิบายว่าทำไมถึงไม่ได้รับสิทธิเท่ากับคนอื่น เราก็คงต้องกลับบ้านมาเริ่มทำ resume ใหม่แล้วเอาไปโปรยไว้ในเว็บหางานแล้วล่ะ Photo by pexels.com หากใครต้องเจอกับเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็ยังไม่กล้าออกจาก comfort zone หรือรู้สึกกลัวการลาออก ผู้เขียนอยากให้เข้าใจว่าการย้ายงานหรือลาออกเป็นเรื่องปกติมากของชีวิตการทำงาน ตราบใดที่องค์กรมีสิทธิเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดเข้ามาทำงาน เราก็มีสิทธิที่จะเลือกงานที่ตรงกับใจที่สุดเช่นกัน แต่ขอให้ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านคิดอย่างรอบคอบและวางแผนให้ดีทุกครั้งก่อนตัดสินใจลาออกด้วยเสมอ