ภาพปกจาก https://pixabay.com“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” เป็นคำกล่าวที่ได้ยินจนติดหู ยิ่งใครที่เป็นคอหนังจีนก็คงจะคุ้นเคยดี กลยุทธนี้ไม่เพียงแต่จะใช้ได้กับการวางแผนการรบเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ในการวางแผนการเรียนภาษาจีนได้เช่นกัน ปัจจุบันนี้หากใครที่สามารถพูดได้มากกว่า 2 ภาษานั้นถือว่าได้เปรียบมากทีเดียว นอกจากภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลแล้ว ภาษาจีนเป็นภาษาที่ถูกจับตามอง และผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก วันนี้จึงอยากจะพาเพื่อน ๆ ที่สนใจอยากเรียนภาษาจีน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงมาทำความรู้จักเกี่ยวกับภาษาจีน (รู้เขา) เพื่อที่เพื่อน ๆ จะเข้าใจสมรภูมิที่อยู่ตรงหน้าได้ (ยังอินอยู่) เรามาดู 3 สิ่งที่ควรรู้ก่อนเรียน “ภาษาจีน” กันรูปภาพจาก https://pixabay.com1. ตัวอักษรภาษาจีนอักษรภาษาจีนมีลักษณะเป็นตัว ๆ เกิดจากการรวมตัวของเส้นขีดเหมือนภาพวาด ไม่เหมือนในภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ใช้การผสมของพยัญชนะ สระ ถ้าในภาษาไทยเราก็ยังมีวรรณยุกต์อีกด้วย เอกลักษณ์อักษรภาพนี้ถือเป็นความยากที่ใครหลาย ๆ คนต่างกลัว เพราะนี่หมายความว่า การที่เราจะจดจำและเขียนตัวอักษรตัวนั้นได้ จะต้องผ่านการคัดและเขียนด้วยมือ ไม่สามารถที่จะสะกดท่องเอาเหมือนภาษาอังกฤษ แต่เพื่อน ๆ อย่าเพิ่งท้อใจไป เพราะยุคสมัยเปลี่ยน เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็มีตัวช่วยให้เรามากมาย ทำให้เราพิมพ์ตัวอักษรออกมาได้โดยไม่ต้องเขียนรูปภาพจาก https://www.canva.com2. เสียงอ่านกำกับ “พินอิน”เพื่อน ๆ อาจมีคำถามว่า แล้วเราจะอ่านออกได้อย่างไรในเมื่อไม่สามารถสะกดได้ ถูกต้องแล้ว ถ้าเราไม่รู้จักตัวอักษรตัวนั้นมาก่อน เราก็อ่านไม่ออกจ้า ไม่ต้องตกใจไป เพราะเราสามารถอ่านออกได้โดยเสียงอ่าน “พินอิน” ซึ่งโดยปกติแบบเรียนทั่วไปที่ขายตามท้องตลาดก็จะมีเสียงอ่านนี้กำกับอยู่ด้วย เรามาทำความรู้จักกันสักเล็กน้อย “พินอิน” ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษในการแทนเสียง แบ่งออกเป็น พยัญชนะ สระ และมีเส้นขีดด้านบนเป็นวรรณยุกต์ ดังนั้นเช่นเดียวกับภาษาไทย หากออกเสียงวรรณยุกต์ผิด ความหมายก็เพี้ยนไปด้วย และพินอินนี้เองที่นอกจากจะช่วยให้เราอ่านตัวอักษรออกแล้ว ยังช่วยให้เราพิมพ์เป็นตัวอักษรออกมาได้โดยไม่ต้องเขียนนั่นเองรูปภาพจาก https://pixabay.com3. โครงสร้างพื้นฐานโครงสร้างพื้นฐานในภาษาจีน ถ้าเป็นประโยคที่ไม่ซับซ้อนก็ถือว่าเหมือนกับภาษาไทยเลยทีเดียว ประธาน+กริยา+กรรม เช่น ฉันกินข้าว แต่คำขยายจะวางเหมือนกับภาษาอังกฤษ เช่น เธอสวยมาก ภาษาจีนจะเป็น เธอมากสวย ดังนั้นในประโยคยาว ๆ ก็จะต้องสังเกตให้ดีว่าคำไหนขยายคำไหน ซึ่งเมื่อเราค่อย ๆ เริ่มฝึกอ่านประโยคสั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับรูปประโยคมากขึ้น และสามารถอ่านเข้าใจไปเองโดยไม่สับสนกับภาษาอื่น ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่ภาษาจีนกับภาษาไทยมีความคล้ายคลึงกันก็คือ ไม่มีการผันของกริยาตามกาล (Tense) เหมือนภาษาอังกฤษ เช่น ฉันกินข้าวแล้ว ประโยคนี้ในภาษาจีนก็ตรงตัวตามภาษาไทยเลย ใช้คำว่า “แล้ว” ในการบ่งชี้สถานะ ไม่ต้องผันกริยาเป็น "กิน แกน กัน" ให้สับสนแต่อย่างใด