เรอัล มาดริด คือสโมสรที่นักค้าแข้งเกือบทุกคนต่างใฝ่ฝันที่จะได้ลงวาดลวดลายฝีเท้าภายใต้ชุดแข่งสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ เรียกได้ว่าหากมีข้อเสนอยื่นมา นักเตะทุกคนต่างพร้อมจรดน้ำหมึกเซ็นสัญญากันทั้งสิ้น ยอดทีม โลส บลังโกส จึงเป็นแหล่งรวมยอดแข้งของโลกมาทุกยุคทุกสมัย แต่ใช่ว่าทุกการเซ็นสัญญาของ ราชันชุดชาว เรอัล มาดริดจะประสบความสำเร็จ นักเตะชื่อก้องโลกหลายคนต่างเอาชื่อเสียงและเวลามาทิ้งกันที่นี่ บางคนไหวตัวทันย้ายหนีออกไปตั้งหลักใหม่อีกครั้งได้ แต่กับบางคนกราฟมีแต่ดิ่งลงเหวเรื่อยๆ บทความนี้จะพาไปดู 3 นักเตะที่เอาชีวิตการค้าแข้งของตัวเองมาทำลายที่สังเวียน ซานติอาโก้ เบอร์นาเบวแห่งนี้ 1. รอยสตัน เดรนเธ่ (Royston Drenthe) นี่คือหนึ่งในวันเดอร์คิดที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น โลกสยบแทบเท้าเขาในวัยย่างเข้า 20 ที่สามารถคว้าแชมป์ยู-21 ปี 2007 กับชาติบ้านเกิด เนเธอร์แลนด์พ่วงด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ ถึงขนาดที่ว่ารุ่นพี่ในทีมชาติอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ต่างอวยอย่างออกนอกหน้า อนาคตอันสดใสรอปีกซ้ายชาวดัตช์ผู้นี้อยู่ หลายสโมสรต่างรุมทึ้ง รอยสตัน ทันทีเมื่อทัวร์นาเมนต์จบลง ท้ายที่สุดเป็น เรอัล มาดริด ได้ตัวเขาไปด้วยสนนราคา 14 ล้านยูโร หากเทียบกับนักเตะในยุคปัจจุบัน สไตล์การเล่นของเขาคล้ายคลึงกับ รีซ เจมส์ แต่จะประจำการอยู่ฝั่งซ้ายแทน คือเป็นพวก versatile player หรือนักเตะสารพัดประโยชน์ ตำแหน่งที่เขาแจ้งเกิดจริงๆคือมิดฟิลด์ทางฝั่งซ้าย จะถอยมาเล่นแบ็คซ้ายก็ได้หรือจะดันขึ้นเป็นปีกก็ได้เช่นกัน ความสารพัดประโยชน์นี้ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มโอกาสการลงสนามให้กับเจ้าตัว แต่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น นี่คือเคสศึกษางามๆของเหล่าวันเดอร์คิดที่รีบชิงย้ายสู่ทีมใหญ่ก่อนเวลาอันควร ดาวรุ่งผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุมผู้นี้เลือกจะบังคับปนข่มขู่ต้นสังกัดเดิม เฟเยนูร์ดให้ปล่อยตัวเขาไปร่วมทีมราชันชุดขาว ซึ่งเมื่อได้ย้ายมาสมใจอยาก เจ้าตัวกลับดันไม่สามารถฉกฉวยโอกาสลงสนามเพื่อพัฒนาฝีเท้าได้ ความอเนกประสงค์ของรอยสตันทำให้โค้ชหลายคนมองเขาเป็นตัวเลือกบนม้านั่งสำรองมากกว่า ยิ่งการมาของ มาร์เซโล่ ในปี 2009 บวกกับทัศนคติที่ไม่สู้ของเจ้าตัวคือการตอกลิ่มปิดประตูโอกาสการลงสนามไปโดยปริยาย ท้ายที่สุดเจ้าตัวถูกปล่อยตัวออกจากสโมสรเมื่อปี 2012 กับสถิติลงสนาม 48 นัด ตลอดระยะเวลา 5 ปี ยิง 2 ประตู ถูกปล่อยยืมในระหว่างนี้ไปอีก 2 ปี ช่างเป็นการเอาพรสวรรค์มาละเลงทิ้งอย่างน่าเสียดายที่แท้จริง ปัจจุบันในวัย 33 ปีเจ้าตัวยังค้าแข้งอยู่กับทีมดิวิชั่น 3 ในลีกบ้านเกิด พร้อมทั้งหันมาเอาดีกับการแร็ปเปอร์เป็นที่เรียบร้อย 2. นูริ ซาฮิน (Nuri Sahin) หลังจากช่วยโบรุสเซีย ดอร์ทมุนต์แย่งแชมป์บุนเดสลีกามาจาก เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิคได้สำเร็จในปี 2010 เจ้าตัวก็เลือกถอดชุดเหลืองแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดขาวแทนภายใต้การคุมทัพของ เดอะสเปเชี่ยล วัน โชเซ่ มูรินโญ่ผู้หมายมั่นปั้นมือที่จะให้ซาฮิน มาคุมแดนกลางร่วมกับชาบี อลอนโซ่ ในวัย 24 ขวบที่ถ้วยรางวัลรายการเมเจอร์และประสบการณ์ในเกมใหญ่ๆก็มีมาแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวสำหรับซาฮินในการก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดมิดฟิลด์ให้กับโคตรทีมนี้ได้ แต่แล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวของมูรินโญ่ตลอดอาชีพการเป็นผู้จัดการทีม นูริ ซาฮินไม่สามารถพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่จะเป็นนักเตะเกรดเอให้กับ เรอัล มาดริดหรืออย่างน้อยก็ไปอยู่ในระดับเดียวกับที่เคยทำไว้สมัยค้าแข้งกับดอร์ทมุนต์ หนำซ้ำกับสโมสรระดับนี้การเจ็บออดๆแอดๆหมายถึงโอกาสอันริบหรี่ในการประสบความสำเร็จ ตลอด 1 ปีที่อยู่กับเรอัล มาดริด นูริ ซาฮินใช้เวลาอยู่ในโรงหมอบ่อยกว่าสนามแข่งเสียอีก ยามได้รับโอกาสที่มีอย่างจำกัดจำเขี่ย เจ้าตัวก็ไม่สามารถฉกฉวยเกมไทม์มาได้ จนถูกซามี่ เคดิร่าจับจองสัมปทานพื้นที่แดนกลางตรงนั้นไปแทน ท้ายที่สุดเจ้าตัวที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีความสุขกับชีวิตการค้าแข้งที่นี่ก็ถูกปล่อยยืมให้กับลิเวอร์พูลในช่วงซัมเมอร์ถัดมา พอล ไบรท์เนอร์ ตำนานนักเตะชาวเยอรมันเคยฟันธงไว้ตอนที่ซาฮินย้ายมาร่วมทัพกับมาดริดไว้ว่า “สำหรับซาฮิน เขาจะกลายมาเป็นยอดมิดฟิลด์ของยุโรปในอีกไม่กี่ฤดูกาลข้างหน้าอย่างแน่นอน” ทว่าฤดูกาลนั้นของซาฮินไม่มีทีท่าว่าจะมาถึง กราฟการค้าแข้งของเจ้าตัวได้ดิ่งลงเรื่อยๆนับตั้งแต่ย้ายออกจากมาดริด ปัจจุบันในวัย 32 ปี เจ้าตัวเพิ่งเริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งใหม่กับ อันตัลยาสปอร์ ทีมในลีกสูงสุดบ้านเกิดที่ตุรกี 3. ฟาบิโอ โกเอนเตรา ( Fabio Coentrao) ดูเหมือนว่าเรอัล มาดริดจะชื่นชอบนักเตะสารพัดประโยชน์ทางแบ็คซ้ายซะเหลือเกิน แต่เมื่อไม่เข็ดกับรอยสตัน เดรนเธ่ ราชันชุดขาวในปี 2011 ก็จัดการคว้าตัว ฟาบิโอ โกเอนเตรามาร่วมทีมด้วยสนนราคาแพง 30 ล้านยูโรโดยมีผู้จัดการร่วมชาติอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ช่วยนั่งยัน นอนยันรับประกันในความคุ้มค่าของเจ้าตัว ในสมัยนั้นช่วงที่มนุษย์วานร แกเร็ธ เบล ยังเป็นแค่ผู้เล่นดาวรุ่งอยู่กับสเปอร์ส นักเตะที่มีสไตล์การเล่นที่คล้ายกันอย่าง ฟาบิโอ โกเอนเตราคือคลาสเอทางฝั่งซ้าย เรียกได้ว่านี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่มูรินโญ่เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยยกระดับทีมได้ แต่แล้วทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเรื่องปาหี่อีกจนได้สำหรับมูรินโญ่ เพราะโกเอนเตราได้นำชื่อเสียงของตัวเองมาโยนทิ้งให้กับ มาร์เซโล่เจ้าเก่า เจ้าเดิม เพราะการยกระดับทีมที่ว่าของมูรินโญ่คือการที่ช่วยให้ฝีเท้าและความมั่นใจของมาร์เซโล่มีแต่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่ทางฝั่งโกเอนเตรากลับถดถอยลงไปแทน ทัศนคติและแรงจูงใจในการลงเล่นให้กับเรอัล มาดริดค่อยๆหมดไปจนเจ้าตัวมั่นใจแล้วว่า ซานติอาโก้ เบอร์นาเบวไม่ใช่สถานที่ของเขาอีกต่อไป โอกาสในการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งของเจ้าตัวคือ เซ็นสัญญายืมตัวกับโมนาโก และสปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่อย่างที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับ goal ในภายหลังว่า “มาดริดทำให้ผมแทบลืมวิธีการเล่นฟุตบอลไปเลย” ซึ่งเจ้าตัวก็คงลืมมันไปแล้วจริงๆเพราะตลอดช่วงสัญญายืมตัว แบ็คซ้ายชาวโปรตุกีสก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งของเจ้าตัวเหมือนสมัยก่อนย้ายมาอยู่กับเรอัล มาดริดได้ ณ ปัจจุบันหลังจากไร้สังกัดมาเกือบปีกว่า เจ้าตัวได้สูญเสียแรงจูงใจการเล่นฟุตบอลและประกาศแขวนสตั๊ดไปด้วยวัย 31 ปีเป็นที่เรียบร้อย ปิดฉากอาชีพการค้าแข้งลงไปอย่างน่าเศร้าของนักเตะผู้มากพรสวรรค์รายนี้ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว สังเวียนแห่งเกียรติยศสำหรับนักฟุตบอลบางคน แต่สำหรับอีกหลายๆคนที่นี่คือหลุมดำในชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมาจากฟอร์มการเล่น ปัญหาอาการบาดเจ็บ ใจไม่สู้ การปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมทีม ปัญหาการสื่อสาร สุดท้ายแล้วมันก็เป็นจุดด่างพร้อยที่ทำลายอาชีพการค้าแข้งของนักเตะบางคนลงไป เหมือนเช่นที่เกิดขึ้นกับ 3 คนข้างต้นนี้... เครดิต รูปปก // รูปที่ 1 // รูปที่ 2 // รูปที่ 3