ใครที่เกิดทันยุค Y2K ค.ศ. 2000 หรือปี พ.ศ. 2543 ก็น่าจะจดจำถึงความตื่นกลัวที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ทั้งในเรื่องของความกังวลว่าการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์จะผิดพลาด (นักคอมพิวเตอร์กังวลว่าพอถึงปี ค.ศ. 2000 ปุ๊บ เครื่องคอมพิวเตอร์จะคำนวณวันที่ผิดโดยย้อนกลับไปเริ่มเป็นวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1900 แทน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงจะโกลาหลกันน่าดู) แถมก่อนหน้านี้ยังมีความตื่นกลัวจากการแปลคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส (นักพยากรณ์อนาคตชื่อดังที่มีชีวิตอยู่ในยุโรปยุคกลางราวๆ ปี ค.ศ. 1500) ว่าโลกจะเกิดหายนะครั้งรุนแรง ซึ่งจากคำพยากรณ์นี้ทำให้เกิดการตีความกันไปต่างๆ นานา สร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลกไม่แพ้กัน ถ้าพูดถึงการพยากรณ์ เคยสังเกตกันมั้ยครับว่าทุกเหตุการณ์สำคัญของโลกมักจะมีคำพยากรณ์มาก่อนล่วงหน้าเสมอ แล้วสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี่ล่ะ เคยมีคำพยากรณ์ล่วงหน้าบ้างมั้ย!? บทความนี้จะเป็นการรวบรวม 3 คำพยากรณ์หรือคำเตือนล่วงหน้าก่อนการมาถึงของโควิด-19 ที่มีทั้งแบบขำๆ จากในนิยายที่ตรงแบบไม่น่าเชื่อ จนไปถึงคำเตือนแบบจริงจังในรูปแบบคำพยากรณ์ (คล้ายๆ นอสตราดามุส) รวมไปถึงการพูดบรรยายบนเวที TED Talks จากอภิมหาเศรษฐีลำดับต้นๆ ของโลก! ถ้าพร้อมแล้วไปพบกันได้เลย ใครจะไปคาดคิดว่า ‘ไวรัสอู่ฮั่น’ จะปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อ 39 ปีที่แล้ว! แต่อย่าเพิ่งตกใจไป...เพราะการปรากฏเมื่อปี ค.ศ. 1981 นั้นเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดจากจินตนาการของนักเขียนนาม Dean Koontz เจ้าของผลงานนิยายแนวระทึกขวัญที่ชื่อว่า The Eyes of Darkness โดยในเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งได้พูดถึงนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนที่ได้คิดค้นไวรัสซึ่งจะถูกนำไปใช้เป็นอาวุธชีวภาพโจมตีสหรัฐอเมริกา โดยไวรัสนั้นมีชื่อว่า ‘Wuhan-400’ หรือ ‘อู่ฮั่น-400’ นั่นเอง หลังจากที่ไวรัสคาโรนาเริ่มแพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกา คนที่เคยอ่านนิยายและจำเนื้อเรื่องได้ก็พากันถ่ายรูปหนังสือหน้าที่มีคำว่า ‘Wuhan-400’ แล้วโพสต์ลงในทวิตเตอร์เป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ The Eyes of Darkness กลายเป็นไวรัลภายในชั่วข้ามคืน แน่นอนว่ายอดขายอีบุ๊คก็พุ่งพรวดขึ้นเช่นกัน ทว่าตัวนักเขียนเองกลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจใช้ชื่อไวรัสว่า ‘Wuhan-400’ ในการตีพิมพ์ครั้งแรก แต่ชื่อ ‘Wuhan-400’ นี้เกิดจากทางสำนักพิมพ์ได้ขอให้มีการแก้ไขในการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 ด้วยเหตุนี้จึงยังเป็นปริศนาต่อไปว่าทำไมทางสำนักพิมพ์ถึงอยากใช้ชื่อดังกล่าว นักพยากรณ์อนาคตคนหนึ่งมีชื่อว่า Sylvia Browne ได้ทำนายการแพร่ระบาดของโรคร้ายในหนังสือ End of Days ที่เธอเขียนไว้ว่า ‘ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2020 จะเกิดโรคชนิดหนึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยโรคที่เกิดขึ้นนี้จะทำลายอวัยวะปอดและระบบทางเดินหายใจ’ คำพยากรณ์ดังกล่าวจะไม่น่าตกใจเลยถ้ามันไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 12 ปีที่แล้ว (ปี ค.ศ. 2008) ซึ่งถือว่าคำอธิบายอาการของโรคในคำพยากรณ์มีความใกล้เคียงกับอาการจริงที่เกิดจากไวรัสโคโรนาจนน่าตกใจ แถมปีที่เกิดก็ถูกต้องอย่างแม่นยำ ทว่าหลังจากที่คำพยากรณ์นี้ได้กลายเป็นไวรัลโด่งดังในโซเชียลมีเดีย ก็ทำให้ผู้คนมากมายค้นหาอีบุ๊คหนังสือ End of Days มาอ่านกัน ซึ่งหลังจากที่อ่านไปแล้วก็พบว่าคำพยากรณ์ที่ Sylvia Browne เขียนไว้นั้นไม่ได้ถูกต้องไปเสียทุกเรื่อง ส่วนใหญ่จะผิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ซะด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่นเธอพยากรณ์ว่าในปี ค.ศ. 2020 จะไม่มีคนตาบอดอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยว่าเธอมีญาณวิเศษรู้เห็นอนาคตจริงๆ หรือเป็นแค่เพียงการเดามั่วๆ เท่านั้น ***อันนี้สิ...น่าสนใจ!*** อย่างที่รู้ๆ กันว่าบิล เกตส์ คือผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์หยักใหญ่อย่าง Microsoft และร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของโลก แต่ดูเหมือนชายผู้สนใจในเทคโนโลยีสุดไฮเทคคนนี้จะความมีสนใจในเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสไม่แพ้กัน เพราะเมื่อ 5 ปีที่แล้วหรือในปี ค.ศ. 2015 เขาได้ขึ้นไปพูดบรรยายบนเวที TED Talks (เวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเชียวชาญในสาขาต่างๆ หรือผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดมาแชร์ไอเดียที่จะช่วยกระตุ้นในโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น) ซึ่งหัวข้อการพูดของบิล เกสต์ในครั้งนั้นก็คือ ‘การระบาดครั้งถัดไปน่ะหรือ เรายังไม่พร้อม’ โดยมีใจความสำคัญว่า ในอนาคตสิ่งที่จะคร่าชีวิตมนุษย์จำนวนมหาศาลอาจไม่ใช่สงครามนิวเคลียร์ แต่เป็นการแพร่ระบาดของสิ่งเล็กๆ อย่างเช่นไวรัส ทุกประเทศในโลกหรือแม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังขาดระบบและกำลังคนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะต่อกรกับการแพร่ระบาดของไวรัส การแพร่ระบาดครั้งต่อไปอาจจำลองรูปแบบการแพร่เชื่อทางอากาศของไข้หวัดสเปน เมื่อปี ค.ศ. 1918 ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 30 ล้านคนทั่วโลก สิ่งที่เราต้องทำก็คือการเตรียมความพร้อมอย่างจริงจังราวกับเข้าสู่ภาวะสงคราม การสาธารณสุขต้องเข้มแข็ง บุคคลากรทางแพทย์และทหารต้องร่วมมือกัน จากการบรรยายที่แทบไม่มีใครสนใจเลยในตอนนั้นก็ได้กลายเป็นจริงแล้ว แม้ว่าระบบและแผนการรับมือจากทั่วโลกยังไม่มีประสิทธิภาพจริงตามที่บิล เกสต์เคยเตือนเอาไว้ แต่ผมก็ยังเชื่อมนุษย์เราจะมีการเรียนรู้ ปรับปรุง และแก้ไขด้วยพลกำลังและสิติปัญญาอย่างเต็มความสามารถ และเราจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน อ้างอิงจาก edition dailymail ted เครดิตรูภาพ ขอบคุณรูปภาพจาก Freepik รูปที่ 1 freepik รูปที่ 2, 3, 4 freepik รูปที่ 5 freepik