หากย้อนเวลากลับไปได้ คงไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่หลาย ๆ คนบอกว่า ที่ต้องเป็นหนี้เพราะเอามาใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นทั้งนั้น ซึ่งก็แล้วแต่เหตุผลของแต่ละคนในช่วงแรกคิดว่าเงินเดือนพอจ่ายไหว ไม่ได้สนใจอะไร พอผ่านไปได้สัก 3 ปี เริ่มรู้สึกว่าเงินเก็บแทบไม่เหลือเลยในแต่ละเดือน นั่นล่ะ!! แสดงว่าภาวะการเงินของคุณ เริ่มมีสัญญาณอันตรายเข้าให้แล้ว ในบทความนี้ เราจะบอกคุณ 3 ข้อ ว่ามีอะไรบ้าง และคุณต้องเตรียมตัวรับมือกับมันให้เร็วที่สุดด้วย!!เครดิตภาพ : SofiLayla3 ข้อ รับมือกับสัญญาณเตือนภัยทางการเงิน1. คุณจ่ายหนี้ได้แค่ขั้นต่ำเท่านั้นสัญญาณข้อแรกนี้ชัดเจนมาก เพราะตามทฤษฎีแล้ว เราควรจ่ายหนี้บัตรเครดิตทั้งจำนวนในเดือนนั้น ๆ เพราะจะไม่เสียดอกเบี้ย หากเป็นเงินกู้อื่น ๆ หรือบัตรกดเงินสด ก็ควรจ่ายชำระมากกว่าขั้นต่ำ แต่หากเมื่อใดก็ตาม ที่คุณเริ่มจ่ายได้เฉพาะขั้นต่ำเท่านั้น ก็หมายความว่าคุณเริ่มมีภาวะแบกหนี้แล้ว คุณต้องแบกทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยด้วยแต่หากการจ่ายเฉพาะขั้นต่ำ ทำให้คุณมีเงินเหลือพอสำหรับใช้จ่ายทั้งเดือน ก็ยังถือว่าไม่วิกฤตมาก สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ 1.ห้ามเป็นหนี้เพิ่ม 2.ประหยัดการใช้จ่ายจนกระทั่งมีเงินเหลือ 3.เพิ่มรายได้ เอาง่าย ๆ แค่นี้ก่อน เพราะหากคุณทำไม่ได้ ภาวะการเงินคุณจะเข้าสู่ red zone ทันทีเครดิตภาพ : falovelykids2. ยอดหนี้สุทธิเกิน 40% ของรายรับทั้งหมดไม่ว่าคุณจะมีรายรับเท่าไหร่ แนะนำว่าไม่ควรมีหนี้สินเกิน 40% ต่อเดือน หากเกินกว่านี้จะบ่งบอกถึงระดับความเสี่ยงของภาวะการเงินที่อันตราย และสภาพคล่องที่น้อยลงจะค่อย ๆ ก่อปัญหาตามมาส่วน 60% ที่เหลือก็ใช่ว่าจะกินใช้เกินตัวได้เสมอไป เพราะเหตุฉุกเฉิน สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา รวมถึงค่าประกันภัย ค่าประกันชีวิต ค่าภาษีสังคมที่จำเป็นอีก เป็นต้น จากค่าใช้จ่ายดังกล่าว แม้คุณจะมียอดหนี้ไม่เกิน 40% ก็อาจจะเป็นเหตุให้คุณไม่มีเงินเหลือเก็บได้เช่นกัน (ในบางเดือน)ดังนั้น เมื่อรู้ตัวว่าก่อหนี้เต็มเพดานแล้ว คุณต้องไม่สร้างหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกเด็ดขาด ทั้งนี้คุณสามารถตั้งเพดานที่เหมาะสมของตัวเองได้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ red zone ทางการเงินเครดิตภาพ : AhmadArdity3. เกิดภาวะหมุนเงิน (นำบัตรโน่นมาจ่ายบัตรนี้)บางคน (หรือหลายคน) มีทั้งบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด นับ 10 ใบ แต่ปรากฏว่าเต็มวงเงินทุกบัตร รวมเป็นเงินหลักหลายแสนบาท คุยกันไป-มา ก็สรุปความได้ว่า เกิดภาวะหมุนเงินมาแล้วร่วม 3 ปี เคสแบบนี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะการหมุนเงินในลักษณะนี้ สุดท้ายก็มีจุดจบเหมือนกัน คือเต็มวงเงินทุกใบ จนขยับตัวต่อไปไม่ได้ สุดท้ายหยุดจ่ายก็เสียประวัติการเงินไปตามระเบียบ ซึ่งสัญญาณมันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว โดยเอาข้อ 1 และ 2 มารวมกันนั่นแหละวิธีแก้มีหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นรวมหนี้ไว้ที่เดียว การปรับโครงสร้างหนี้ หรือหยุดจ่ายทุกบัตร แล้วรอการเจรจาต่อรอง หากไม่เป็นผล เราอาจถูกฟ้องศาลได้ หากศาลตัดสินแล้วเราไม่จ่าย ก็ต้องถูกบังคับคดี หากมีทรัพย์สินหรือเงินเดือน ก็รอเวลาถูกยึดหรืออายัด แต่หากไม่มีทรัพย์สินใด ๆ ก็รอให้หมดอายุความ เป็นต้น โดยในแต่ละทางเลือก จะมีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันไป ต้องศึกษาให้ดี ๆ ด้วยเครดิตภาพ : blickpixelผู้ที่มีสัญญาณชีพทางการเงินดี เท่ากับว่าไม่เข้าข่ายทั้ง 3 ข้อนี้ เราขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย แต่หากใครเข้าข่าย 3 ข้อนี้ทั้งหมด หรือข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบสำรวจภาวะการเงินของตัวเองทันที แล้วเร่งหาวิธีแก้ไข ส่วนไหนที่ยังพอปรับได้ ให้รีบทำ เช่น เริ่มจ่ายได้เฉพาะขั้นต่ำ แต่ยังพอมีเงินเหลือใช้ ก็เร่งหารายได้เพิ่ม ลดค่าใช้จ่ายลง เชื่อว่าปัญหาจะค่อย ๆ เบาลงไปได้เองเครดิตภาพ : Erdenebayarส่วนผู้ที่อยู่ในขั้นวิกฤตอย่างแรง โดยเฉพาะข้อ 3 ก็ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในวิธีแก้ที่บอกไปแล้ว หรือจะเลือกขายทรัพย์สินบางอย่าง ก็ให้เร่งตัดสินใจ แต่สิ่งที่ไม่ควรทำด้วยประการทั้งปวง คือการตัดช่องน้อยแต่พอตัว... เพราะบาปหนากับตัวเองอย่างมาก...เครดิตภาพปก : andreas160578อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมจ่ายหนี้ไม่ไหว ต้องอ่าน 3 ข้อต่อไปนี้ (ห้ามทยอยจ่ายชำระหนี้เด็ดขาด!!)