ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ "ชุมชนเกาะจิก" ที่ตั้งอยู่ ต.บางชัน อ.ขลุง จ.จันทบุรี เกาะนี้เนี่ย เป็นเกาะกลางน้ำที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเวฬุก่อนออกสู่ทะเลอ่าวไทยนั่นเองครับ เล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่า ผมเดินทางไปทริปนี้ค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว เพราะชื่ออยู่จังหวัดจันทบุรี แต่ต้องขับรถอ้อมไปถึงตราด แล้วค่อยข้ามจากท่าเรือเข้าเกาะ (ปาดเหงื่อสักเล็กน้อย 555) คือถ้านับจากท่าเรือมา ผมใช้เวลาเดินทางด้วยเรือโดยสารประมาณ 30 นาที ก็ไม่นานเท่าไหร่ เพราะน้ำใสดี พอนั่งกินลมชมวิวได้เพลิน ๆ เอาเป็นว่า ถึงแม้ว่ามันจะดูห่างไกลไปสักหน่อย แต่ถือว่าเกาะจิกแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองเลยทีเดียวครับ มีทั้งโรงเรียน และวัดวาอารามที่ใหญ่โตอยู่พอควร ไม่ต่างอะไรกับชุมชนที่อยู่บนฝั่งแผ่นดินทั่ว ๆ ไปเลยล่ะ แต่มาคราวนี้ ไม่ได้มาเที่ยวชมบรรยากาศเพียงอย่างเดียวนะครับ ผมจะพาไปรู้ 3 สตอรี่ที่น่าสนใจของเกาะนี้ รับรองว่า "รักมากขึ้นแน่นอน" ไปกันเล้ย! 1. เกาะจิก โดนจัดให้เป็นชุมชนเศรษฐกิจเชิงลบ อ่านไม่ผิดแน่นอน เป็นชุมชนเศรษฐกิจเชิงลบจริง ๆ ครับ อะไรลบ ๆ เนี่ย ไม่เป็นเรื่องดีแน่นอน โดยเฉพาะเงินในบัญชีติดลบ (นอกเรื่องแล้วล่ะ 555) กลับมาเข้าเรื่องต่อครับ ผมได้มีโอกาสไปพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านชุมชนเกาะจิก ก็คือผู้ใหญ่บ้านณรงค์ชัย เหมสุวรรณ ครับ เขาเล่าให้ฟังว่า เกาะจิกแห่งนี้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงครับ ในอดีตชาวบ้านที่นี่ลำบากมากกก (ก.ล้านตัว) สว่างสุดก็มาจากแค่ตะเกียงน้ำมันต่าง ๆ แล้วก็ตะเกียงเจ้าพายุ นอกนั้นไม่มีอะไรเลยครับ จากนั้นผมก็ถามผู้ใหญ่ว่า แล้วทำไมไม่ไปติดต่อการไฟฟ้าให้มาติดตั้งให้ ผู้ใหญ่ตอบมาว่า เคยติดต่อการไฟฟ้าไปแล้ว แต่ก็ได้รับคำตอบว่า "ไม่คุ้มที่จะลงทุน" สาเหตุที่มันไม่คุ้ม เพราะว่าที่นี่เป็นแค่ชุมชนเล็ก ๆ และอยู่ห่างไกลด้วย มันเลยไม่คุ้มเสี่ยงที่การไฟฟ้าจะเข้ามาลงทุนปักเสาตั้งไฟให้นั่นเองครับ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่า จะทำอะไรก็สู้ไม่ได้ ลูกหลานต้องเรียน ทำการบ้าน คอมก็ใช้ไม่ได้ เพราะเราไม่มีไฟ OTOP อะไรก็ไม่มีเหมือนคนบนเกาะ พัฒนาอะไรไม่ได้เลย จนต่อมาชาวบ้านก็ตัดสินใจเอาเครื่องปั่นไฟมาช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ครับ 2. เกิดพลิกผัน มีโซลาร์เซลล์ใช้! ภาพโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่ผมถ่ายมาให้ดูนี้เนี่ย เป็นแค่จุดหนึ่งบนเกาะเท่านั้นนะครับ เพราะเกาะเล็ก ๆ แบบนี้ มีโซลาร์เซลล์ตั้งถึง 3 จุดเลยทีเดียว ใหญ่ที่สุดคือตั้งอยู่ที่หลังวัดเกาะจิก รองลงมาก็ตั้งที่โรงเรียน และศูนย์พัฒนาชุมชนครับ คือมีไฟฟ้าใช้ทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว ผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตอนที่ใช้เครื่องปั่นไฟดีเซล ค่าไฟต่อเดือนของชาวบ้าน 2,000-3,000 บาทต่อหลังเลยทีเดียว (แพงมากกกกกกกก) แถมตอนกลางคืนต้องปั่นไฟไว้ใช้ เสียงก็ดังรบกวน เป็นมลพิษทางเสียงอีก บางบ้านก็นอนไม่หลับ นอนไปก็ได้ยินเสียงเครื่องปั่นไฟทำงาน แง่กๆๆๆๆ ตลอดเวลา ที่สำคัญยังเป็นมลพิษต่อน้ำด้วย เพราะจะมีพวกเศษจารบี คราบน้ำมันจากเครื่องปั่นไฟ หลุดลอยลงน้ำไปตลอด ติดต่อหาความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ แต่ก็ถูกปฏิเสธ จนวันหนึ่งก็มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย นั่นก็คือ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี หรือ มจธ. มาช่วยพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้น โดยเอาเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เข้ามาวางระบบ และพัฒนาจนทำให้ที่นี่มีระบบโซลาร์เซลล์ ที่มีกำลังผลิตสูงถึง 50 กิโลวัตต์ ใช้ทั่วเกาะเลยล่ะครับ สุดท้ายก็พัฒนาทำเป็นโรงเรือน ในรูปแบบบริษัทได้เอง ถือว่าเกาะจิก เป็นชุมชนต้นแบบของการใช้พลังงานทดแทนที่ดีแห่งต้น ๆ ของประเทศไทยเลยทีเดียวล่ะ! 3. ชาวบ้านเกาะจิกต้องเติมเงินใช้ไฟฟ้า แถมอีกเรื่องละกันนะครับ ต้องบอกว่าช่วงหนึ่ง ชาวบ้านเกาะจิกแต่ละบ้าน จะต้องเติมเงินลงบัตรและเสียบเข้าเครื่องมิเตอร์เพื่อใช้ไฟครับ รูปที่ผมถ่ายมาให้ดู คือมิเตอร์ไฟฟ้าแบบเติมเงิน ซึ่งผมเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนะครับ (ดูไปดูมาก็เหมือนตู้ลำโพงเวลาอาจารย์พกไปสอนหนังสือเลยครับ 555) แต่ตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้ว เพราะเปลี่ยนมาใช้มิเตอร์ไฟเหมือนบ้านเราปกติ แต่แค่เชื่อมต่อกับระบบโซลาร์เซลล์นั่นเองครับ ผมได้เดินเที่ยวไปคุยกับชาวบ้านเกาะจิก ถึงเรื่องการผลิตไฟฟ้าด้วยแผงโซลาร์เซลล์ พวกเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "มันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากกกก" จากอดีตต้องนอนทุกข์ทรมานกับเสียงรบกวนจากเครื่องปั่นไฟดีเซล ใช้ไฟมากก็ไม่ได้ เพราะพลังงานมีจำกัด แถมใช้เยอะก็จ่ายแพงด้วย แต่ตอนนี้มีโซลาร์เซลล์ ค่าใช้จ่ายก็ลดลง ทีวี ตู้เย็น ก็สามารถใช้ได้เหมือนคนบนเกาะด้วยครับ นี่คือสตอรี่ดี ๆ ของชุมชนเกาะจิกที่อยากมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ใครที่อยากไปสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ศึกษาวิถีชีวิตของผู้คนบนเกาะ แล้วแวดล้อมไปด้วยน้ำใส ๆ แบบนี้ ลองแวะไปที่เกาะจิกกันนะครับ รับรองว่าคุณจะเลิฟแน่นอน!