การได้เคยเล่นในทีม "BIG6" ในพรีเมียร์ลีก นั้น ถือเป็นความสำเร็จและเกียรติประวัติ ที่น่าภาคภูมิใจในอาชีพนักฟุตอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าได้เป็นถึงระดับ "ตำนาน" ของเหล่าทีมใหญ่พวกนี้ด้วยละก็ คงถือเป็นความภูมิใจอย่างที่สุด สำหรับอาชีพนักฟุตบอลคนหนึ่ง แต่ก็ไม่เสมอไปที่การจะเป็น "สุดยอดนักเตะ" จะต้องมาจากสโมสรใหญ่ๆ เพราะคนพวกที่กำลังจะกล่างถึงนี้ทาง "BBC SPORT" สื่อกีฬาชื่อดังของโลกได้ทำจัดอันดับ 10 นักเตะระดับตำนานที่เล่นได้สุดยอด ที่ไม่เคยเล่นให้ทีม BIG6 อย่าง ลิเวอร์พูล , เชลซี , อาเซน่อล , สเปอร์ , แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกมาก่อน โดยผู้คัดเลือกจัดอันดับในครั้งนี้คือ 2 สุดยอดศูนย์หน้าระดับตำนานอย่าง "อลัน เชียเรอร์" และ "เอียน ไรท์" นั้นเอง จะมีใครกันบ้างที่ได้รับเลือกจาก 2 อดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษ ไปติดตามกันได้เลย 10. เดวิด แบตตี้ (กองกลาง) สโมสร : ลีดส์ ยูไนเต็ด (1987-1993, 1998-2004), แบล็กเบร์น โรเวอร์ส (1993-1996), นิวคาสเซิล (1996-1998) ถ้วยรางวัล : พรีเมียร์ลีก , ดิวิชั่น 1 (ลีกสูงสุดเดิม) ในยุคสมัยที่มีแต่ กองกลางพันธุ์ดุ ชื่อดังอย่าง รอย คีน , ปาทริค วิเอล่า หรือ เดนิส ไวส์ แต่คงไม่มีใครที่จะลืมจอมโหดอีกคนหนึ่งอย่าง เดวิด แบตตี้ ไปได้ แบตตี้ เติบโตมากับ ลีดส์ ตั้งแต่สมัยเยาวชนจนขึ้นมาชุดใหญ่ และพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสำเร็จ ก่อนจะย้ายไปอยู่ แบล็กเบิร์น จนมีส่วนสำคัญในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกด้วย "เขาเข้าฝึกซ้อมและเป็นคนแรกเขามักจะอยู่เป็นคนสุดท้ายเสมอ เขาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากในสนาม แต่คุณจะรู้สึกถึงความฮึกเหิมและอุ่นใจเมื่ออยู่ทีมเดียวกับเขา" อลัน เชียเรอร์ 9. แกเร็ธ เซาธ์เกต (กองกลาง , กองหลัง) สโมสร : คริสตัล พาเลซ (1988-1995), แอสตัน วิลล่า (1995-2001), มิดเดิ้ลสโบรช์ (2001-2006) ถ้วยรางวัล : ดิวิชั่น 1 (แชมเปี้ยนชิพ เดิม) , ลีกคัพ 2 ครั้ง กุญซือทีม ชาติอังกฤษ ปัจจุบันรายนี้ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ พาเลซ ในตำแหน่งกองกลาง จนได้แต่งตั้งเป็นกัปตันทีม และพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมา พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จในปี 1994 ก่อนจะย้ายมาเล่นให้กับ วิลล่า ในตำแหน่งกองหลัง และพาทีมคว้าแชมป์ ลีกคัพ แถมยังสร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะ วิลล่า คนเดียวที่ลงสนามทุกนัดในฤดูกาล 1998-99 และยังเพิ่มถ้วยรางวัลให้ตัวเขาเองอีกหนึ่งถ้วย โดยได้แชม์ ลีกคีพ อีกครั้งกับ มิดเดิ้ลสโบรช์ "เมื่อคุณเป็นผู้เล่นที่ชาญฉลาดคุณสามารถเล่นในตำแหน่งที่แตกต่างกันและอ่านสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขาไม่มีปัญหากับเรื่องนั้นมันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาเล่นได้หลายตำแหน่ง" เอียน ไรท์ 8. ทิม เคฮิลล์ (กองหน้า,กองกลาง) สโมสร : มิลวอล (1998-2004, 2018), เอฟเวอร์ตัน (2004-2012) ถ้วยรางวัล : ดิวิชั่น 2 (ลีก 1 เดิม) เคฮิลล์ ยิงให้ มิลวอล ไปทั่งหมด 52 ประตู จาก 217 นัด ทำให้ เดวิด มอยส์ ที่กำลังมองหายักเตะไปเสรมทีม ที่มีโกาสได้ไปนั้งดูเกมเพล์ออฟระหว่าง มิลวอล พบกับ เบอร์มิ่งแฮม ต้องติดต่อขอซื้อตัว เคฮิลล์ ในทันที ตลอดในช่วงเวลาที่เล่นกับ เอฟเวอร์ตัน เคฮิลล์ ทำไปทั้งหมด 56 ประตู แต่มีสิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ คิดเป็น 55.4% ของการทำประตูนั้นมาจากการโหม่งถึง 31 ลูก ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นที่มากกว่าศูนย์หน้าร่างโย่งอย่าง ปีเตอร์ เคร้าซ์ ที่เป็นเจ้าสถิติทำประตูจากโหม่งสูงสุดใน พรีเมียร์ลีก อีกด้วย "เอเวอร์ตัน ตาถึงมากที่ได้ตัวเขามา มันน่าเหลือเชื่อมากเวลาที่เขาอยู่กลางอากาศและทำประตูได้บ่อยครั้ง กับนักเตะที่มีส่วนสูงเพียงเท่านั้น" อลัน เชียเรอร์ 7. เควิน ฟิลลิปส์ (กองหน้า) สโมสร : วัตฟอร์ด (1994-1997), ซันเดอร์แลนด์ (1997-2003), เซาแธมป์ตัน (2003-2005), แอสตัน วิลล่า (2005-2006), เวสต์บรอมวิช (2006-2008), เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (2008-20011), แบล็คพูล (2011-2013), คริสตัล พาเลซ (2013-2014), เลสเตอร์ ซิตี้ (2014) ถ้วยรางวัล : ดิวิชั่น 1 (แชมเปี้ยนชิพ เดิม) , ลีกคัพ เควิน ฟิลลิปส์ คือกองหน้าที่แจ้งเกิดในยุคที่ ทีมชาติอังกฤษ มีตำแหน่งให้เลือกมากมมาย ไม่ว่าจะเป็น เชียเรอร์ , โอเว่น , สมิธ , บีตตี้ ,เฮสกี รวมถึง รูนีย์ ทำให้เขาไม่ได้รับโอกาสจากทีมชาติมากเท่าที่ควร ด้วยสถิติที่ลงเล่น 5 ฤดูกาล ยิงไป 113 ประตูกับ ซันเดอร์แลนด์ การันตีได้ถึงความเก่งของ ฟิลลิปส์ ได้อย่างดี โดยในปี 1999-2000 เขากลายเป็นดาวซัลโว ในฤดูกาลนั้น ด้วยจำนวนถึง 30 ประตู "เขาหาตำแหน่งในกรอบเขตโทษและทำประตูจากทุกที่ เพียงการสำพัสบอลครั้งเดียวเท่านั้น เขามักจะอยูในเวลาที่เหมาะสมเสมอเมื่อเขาทำประตูที่ซันเดอร์แลนด์ " เอียน ไรท์ 6. เจย์-เจย์ โอโคชา (กองกลาง) สโมสร : โบลตัน วันเดอเรอร์ส (2002-2006), ฮัลล์ ซิตี้ (2007-2008) ราชาไร้มงกุฏ คำนี้สามารถใช้กับนักเตะอย่าง โอโคชา ได้เป็นอย่างดีที่สุด ที่ โบลตัน ว่ากันว่านี้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตอาชีพของ โอโคชา เขาทำได้ดีที่สุดแค่ตำแหน่งรองแชมป์ลีกคัพ เช่นเดียวกับในทีมชาติ แม้จะพาทีมเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย แต่ไปไกลที่สุดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น โอโคชา ยังเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ครบเครื่อง เพราะนอกจากจะสร้างสรรค์เกมจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้แล้ว เขายังยิงประตูได้อย่างเฉียบคม ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา และสถิติ 85 ประตูในชีวิตการค้าแข้งก็พิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี "ไม่มีกล้าปฏิเสธว่าเขาเก่งแค่ไหน เขามีเทคนิคที่สุดยอดกับลูกบอล แต่เขาได้รับการพูดถึงและเชิดชูน้อยไปหน่อย ทั้งๆที่นี้คือสุดยอดนักเตะของโลกคนหนึ่งเลย" อลัน เชียเรอร์ 5. แกรี่ สปีด (กองกลาง) สโมสร : ลีดส์ ยูไนเต็ด (1988-1996), เอฟเวอร์ตัน (1996-1998), นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (1998-2004), โบลตัน วันเดอเรอร์ส (2004-2008), เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (2008-2010) ถ้วยรางวัล : ดิวิชั่น 1 (ลีกสูงสุดเดิม) สปีด คือหนึ่งในนักเตะที่ลงเล่นมากที่สุดใน พรีเมียร์ 5 อันดับแรก ด้วยจำนวน 535 นัด เป็นรองแค่ กิ๊กส์ , แลมพาร์ด , เจมส์ และ แบร์รี่ เท่านั้น เขาลงแข่งขันในลีกและฟุตบอลถ้วยในประเทศกว่า 840 นัด และลงแข่งในระดับระหว่างประเทศอีก 85 นัด และยังเป็นผู้เล่นของลีดส์ยูไนเต็ด ในชุดที่คว้าแชมป์ลีกปี 1991-92 1 ปีก่อนเปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก อีกด้วย "ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ เมื่อเขาอยู่ในตำแหน่งกองกลาง ผมไม่เคยเห็นใครกระโดดสูงเท่าเขามาก่อนเลย และผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาไม่ได้ย้ายไปอยู่สโมสร 6 ทีมที่ดีที่สุดใน พรีเมียร์ลีก" เอียน ไรท์ 4. จูนินโญ่ (กองกลาง) สโมสร: มิดเดิ้ลสโบรช์ (1995-1997, 1999-2000, 2002-2004) ถ้วยรางวัล : ลีกคัพ, ฟุตบอลโลก ด้วยฟอร์มที่ จูนินโญ่ ทำไว้ กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของนักเตะ บราซิล ในอังกฤษทันที ทุกคนมีภาพจำจากการเล่นของ จูนินโญ่ ว่า ผู้สร้างเกมรุกให้กับทีมได้เร้าใจที่สุด ด้วยทักษะ, ความเร็ว และความคิดสร้างสรรค์ในแบบที่นักเตะอังกฤษยากจะเลียนแบบ ที่สำคัญคือ จูนินโญ่ สามารถนำ มิดเดิลสโบรช์ คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ถ้วยแรกและถ้วยเดียวของสโมสรจนถึงทุกวันนี้ คือ ลีกคัพ เมื่อฤดูกาล 2003-04 อีกด้วย "เขายังเด็กมาก เมื่อเขาตัดสินใจที่มาอยูที่นี้ เขานำครอบครัวของเขาทั้งหมดมาเพื่อที่จะกล้าลองสิ่งใหม่ ๆ และเขาก็เป็นผู้เล่นที่ดี" อลัน เชียเรอร์ 3. เปาโล ดิ คานิโอ (กองหน้า) สโมสร : เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ (1997-1999), เวสต์แฮม(1999-2003), ชาร์ลตัน แอธเลติก (2003-2004) สมัยที่ ดิ คานิโอ เล่นอยู่ที่ เชฟฟิลด์ ก็ได้ตกเป็นข่าวครั้งใหญ่ หลังผลักผู้ตัดสิน พอล อัลค็อก เพราะไม่พอใจที่ให้ใบแดงเขา ส่งผลให้ถูกลงโทษแบน 11 นัด และปรับเงินอีก 10,000 ปอนด์ และนั้นคือจุดเริ่มต้นที่มำให้ทุกคนรู้จักเขามากขึ้น ในปีถัดมาเขาย้ายมาที่ เวสต์แฮม ก่อนช่วยให้ทีมคว้าอันดับ 5 ในลีก และคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าคัพ จากการรายการอินเตอร์โตโต้คัพอีกด้วย ถัดมาปี 2011 ดิ คานิโอ กู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับคืนมา เมื่อได้รับรางวัลแฟร์เพลย์จากฟีฟ่า หลังปฏิเสธโอกาสที่จะทำประตู ขณะที่ผู้รักษาประตูของทีมคู่แข่งได้รับบาดเจ็บอยูในขณะนั้น "เขาเป็นคนไม่ฝักใฝ่เรื่องอื่นเลยนอกจากฟุตบอล ว่าเขายอดเยี่ยมมากที่ได้อยู่ในห้องแต่งตัวและดูทีมที่เขาเล่นในยุโรป - ลาซิโอเซลติค ยูเวนตุส - มันเหลือเชื่อมากที่เขาเล่นกับสโมสรเหล่านี้มาทั้งหมด" เอียน ไรท์ 2. เจมี่ วาร์ดี้ (กองหน้า) สโมสร : ฮาลิแฟกซ์ ทาว์น (2010-2011), ฟลีตวู้ด ทาวน์ (2011-2012), เลสเตอร์ ซิตี้ (2012- ปัจจุบัน) ถ้วยรางวัล : พรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนชิพ วาร์ดี้ เริ่มต้น ฉายแววกับ ฟลีทวู้ด ทีมในระดับคอนเฟอเรนซ์ ลีก ด้วยการยิงไป 31 ประตูจาก 36 นัด พาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกทู พร้อมกับได้ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำลีกฤดูกาล 2011-2012 จากนั้นถูกเลสเตอร์ คว้าตัวไปด้วยสัญญาเป็นเวลา 3 ปี ฤดูกาลที่ 2 กับ เลสเตอร์ วาร์ดี้ เริ่มโชว์ฟอร์มสุดยอด โดยปิดฤดูกาล วาร์ดี้ทำไป 16 ประตู พร้อมพาเลสเตอร์เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีก และได้รับการต่อสัญญาออกไปอีก 4 ปี 2015-2016 เป็นฤดูกาลแห่งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ เนื่องจาก วาร์ดี้ นำทีม เลสเตอร์ เข้าร่วมลุยในศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สำคัญเป็นฤดูกาลที่ เลสเตอร์ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปี โดยนับตั้งแต่ที่ได้มีการก่อตั้งสโมสรมาอีกด้วย "มันเป็นความเคลื่อนทีทของเขาที่ไม่น่าเชื่อทุกคนรู้วิธีที่เขาเล่นแต่หยุดเขาไม่ได้ มีแค่ไม่กี่คนที่สามารถหยุดเขาได้"อลัน เชียเรอร์ 1. แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ (กองกลาง) สโมสร : เซาแธมป์ตัน (1986-2002) เลอ ทิสอิเอร์ เริ่มเล่นให้ เซาแธมป์ตั้งแต่อายุ 17 ในดับเยาวชน จนเขาสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของเซาธ์แฮมป์ตัน เขากลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของสโมสร เขากลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของสโมสร ทั้งตัวสร้างสรรค์เกม และตัวจบสกอร์ เขามักจะยิงได้เกิน 10 ประตูเกือบทุกฤดูกาล ตลอด 16 ฤดูกาลกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เขายิงไปถึง 209 ประตู จาก 540 นัดในทุกรายการ โดยเป็นการยิงในพรีเมียร์ลีกถึง 100 ประตู และทำไปถึง 64 แอสซิสต์ จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในตำนานของทีมนักบุญ และได้รับฉายาว่า “เลอ ก็อด” "เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ผมไม่คิดว่าเขาจะเล่นได้แบบที่เหมือนใคร และจะมีใครทำได้แบบเขาได้ ผมอยากจะพูดว่า เลอ ทิสซิเอร์ คือคนประเภทเดียวกันกับ ซีดาน" เอียน ไรท์ ขอบคุณข้อมูลจาก BBC SPORT ขอบคุณภาพประกอบจาก TRUE ID. ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7