ถ้าถามว่าประเทศอะไรมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก หลายคนทราบว่าคือ อินเดีย ประเทศที่มีประชากรเกิน 1,000 ล้านคนรองจากประเทศจีน แล้วเรื่องอื่นๆ คุณรู้จัก India ดีแค่ไหน คุณรู้หรือไม่ทำไม Microsoft ถึงอยากซื้อ TikTok จากจีน ประเทศที่มียอดผู้ใช้ Tiktok มากที่สุดนอกประเทศจีน คืออินเดีย ถึงแม้ปัจจุบันอินเดียจะแบน App TikTok อยู่แต่ถ้าดีล Microsoft สำเร็จภายใน 15 ส.ค.นี้อินเดียอาจจะกลับมาเปิดให้ TikTok ใช้งานได้เช่นเดียวกับอเมริกา แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่า Facebook เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท Jio ในเครือ Reliance Group ของมหาเศรษฐีอันดับ 1 อินเดีย Mukesh Ambani เพื่อจะเจาะเข้าไปถึงผู้ใช้ WhatsApp (ซึ่ง Facebook Take over ไปเมื่อปี 2014) Program ที่มียอดผู้ใช้งานเยอะที่สุดอยู่ในอินเดีย ปี 2019 มียอดผู้ใช้ถึง 340 ล้านคน อินเดียประเทศที่หอมหวลเย้ายวนใจหลาย Big ธุรกิจในโลกที่อยากเข้าเจาะตลาดแดนภารตะ บทความซีรีส์อินเดียของผม มาจากการใช้ชีวิตและการเดินทางในประเทศอินเดียทั้งหมด ประสบการณ์ในอินเดีย 5 ปี ผมอาศัยและทำงานในบังกาลอร์ เมืองทางใต้ของอินเดียที่อยู่ในรัฐ Karnataka จากข้อมูลสถิติปัจจุบันเมืองบังกาลอร์ หรือ Bengaluru (ชื่อใหม่) มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของอินเดีย แล้วเมืองที่มีประชากรเป็นอันดับ 1 คือเมืองอะไร คำตอบ คือ เมืองมุมไม ประชากร 12 ล้านคน แต่เอาจริงๆ อาจจะเยอะกว่านี้ที่ไม่ได้สำรวจประชากร "มุมไบ (Mumbai)" หรือชื่อเดิมที่เราเคยได้ยินกันว่า Bombay แต่เนื่องจากเปลี่ยนชื่อเป็น Mumbai มาตั้งแต่ปี 1996 คือเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว เราจึงคุ้นเคยกับชื่อมุมไบมากกว่า วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องการเดินทางจากบังกาลอร์ ไปมุมไบในทริป 2 วัน 1 คืนของผม เริ่มจากวันหยุดต่อเนื่อง 3 วัน เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ผมออกเดินทางเช้าวันเสาร์ โดยการเรียกบริการ Uber App เรียกรถที่เรารู้จักกันดี ระยะทางจากบ้านไปสนามบิน Kempegowda International ประมาณ 37 กิโลเมตร เรียกรถยนต์นั่งแบบธรรมดาราคา 747 รูปี (ประมาณ 300 กว่าบาท) เป็นการเดินทางภายในประเทศจากเมืองใหญ่อันดับ 3 ไปเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยสายการบินในประเทศของอินเดียใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที เมื่อถึงสนามบิน Mumbai Domestic Airport ทางออกจากสนามบินเมื่อออกมาตรง Arrivals สังเกตได้ว่าด้านซ้ายมือจะมีร้าน Starbucks ผมเดินทางมาถืงมุมไบประมาณเที่ยงกว่าๆ ว่าแล้วผมก็ลองใช้บริการ Uber กันอีกครั้ง ซึ่งโดยปกติที่อินเดียจะมีบริการ Taxi ผ่าน Application มือถืออีกตัวคือ Ola Cab (เป็น India Start Up) ซึ่งผมมักจะใช้ Ola Cab อยุ่เป็นประจำที่บังกาลอร์ แต่อยากจะลองเปรียบเทียบการใช้งานทั้ง 2 App ดูในเมืองมุมไบ ว่ามีความแตกต่างกันหรือเปล่า ซึ่งบอกได้เลยว่าในมุมไบ Uber รถใหม่และดีกว่าที่บังกาลอร์เยอะเลย จากในรูป จุดรอรถ Taxi OLA และ UBER จะอยู่ตรงทางออกผู้โดยสารขาเข้า (Arrivals) เลย จากนั้นเมื่อได้รถที่เรียกมาแล้วถึงเวลาเดินทางไปยังที่พัก เส้นทางไปโรงแรมที่พักซึ่งอยู่ในเขต South Mumbai ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ระหว่างทางเหมือนคนขับจะรู้ใจว่าเราอยากถ่ายภาพเลยขับผ่านสะพานริมทะเลที่เชื่อมจากแหลมด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งตามรูปในแผนที่ ผมได้ชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของบ้านเมืองและท้องทะเลอาหรับ ซึ่งเป็นทะเลทางด้านทิศตะวันตกของอินเดีย ขอบอกว่าประทับใจกับการเดินทางมาถึงมุมไบครั้งแรกมาก เมืองมุมไบเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของอินเดีย เมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก เป็นเมืองหลวงของรัฐ Maharashtra เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่หลาย ๆ บริษัทในอินเดีย เช่น HDFC Bank , Reliance Group , Airtel บริษัทผู้ให้บริการมือถืออันดับ 1 ของอินเดีย นอกจากนี้มุมไบยังเป็นเมืองที่มีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดในอินเดีย และเป็นแหล่งกำเนิด Ballywood ธุรกิจสร้างภาพยนตร์อินเดียที่ทุกคนรู้จักกันดีก็เกิดขึ้นในเมืองนี้ สำหรับทริปการเดินทางนี้ผมไปพักโรงแรมที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองมุมไบซึ่งจะมีอารยะธรรมของอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่องแบบโบราณที่หาดูจากเมืองอื่นๆในอินเดียยาก ส่วนสาเหตุทีเลือกพักโซนนี้เพราะผมสามารถเดินไปถ่ายรูปแถว Gateway of India ได้อย่างสะดวก ซึ่งผมสามารถเดินออกจากโรงแรมไม่ถึง 10 นาทีก็จะได้ชม Gateway of India และสามารถออกไปถ่ายรูปตอนกลางคืนได้อีกรอบด้วย หลังจากเช็กอินเข้าที่โรงแรมตอนบ่ายสอง ผมรีบเดินสะพายกล้องออกมาถ่ายรูปทันทีไม่ให้เสียเวลา อากาศก็ช่างเป็นใจมากเพราะไม่มีฝน เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในมุมไบแต่ผมไม่กลัว ว่าแล้วต้องรีบออกไปกดชัตเตอร์ถ่ายรูปกัน แถว Gateway of India ภาพข้างล่าง จากนั้นก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ตลอดสองเส้นทางถนน สังเกตได้ว่าเมืองมุมไบกำลังสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินแถวบริเวณ Gateway of India ทำให้ถนนช่วงนั้นแคบลงและคนก็เดินกันขวักไขว้เต็มท้องถนน ผมเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เป้าหมาย คือ สถานีรถไฟ Chhatrapati Shivaji Terminus ที่เค้าว่ากันว่าสวยงามและเป็นมรดกโลกที่ Unesco ให้การรับรอง ระหว่างทางก็ถ่ายรูปสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษ เดินถ่ายไปเรื่อยๆ ได้ภาพสวยๆ มากมาย ถ้าใครชื่นชอบการถ่ายรูปตึกรามบ้านช่องแบบนี้ผมว่าพลาดไม่ได้ที่คุณจะต้องมาเยือนเมืองมุมไบสักครั้งในชีวิต เอาจริงๆเหตุผลหลักที่ผมเดินทางมามุมไบ เนื่องจากเจ้านายใหญ่ที่เมืองไทยเคยบอกผมว่าคุณต้องไปมุมไบสักครั้ง ถ้าดูจากงานของผมไม่มีอะไรไปเกี่ยวข้องกับมุมไบเลย ดังนั้นพอมีโอกาสวันหยุดผมเลยจัดไปให้สมใจด้วยความอยากรู้ว่ามันดียังไง ประกอบกับกำลังหัดถ่ายรูปแบบอยากลองถ่ายที่เที่ยวใหม่ๆไปเรื่อย สุดท้ายการมา 2 วัน 1 คืนผมเก็บทุกรายละเอียดตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นผู้คน วัฒนธรรมที่แตกต่างจากทางใต้ที่ผมอาศัยอยู่โดยสิ้นเชิง กลุ่มคนวิถีชีวิตช่างแตกต่าง คนในประเทศเดียวกันแต่อยู่คนละรัฐ ภาษา สีผิว วัฒนธรรม อาหารการกินไม่ได้คล้ายกันเลย ถ้าคุณมาแถบรัฐ Maharashtra คุณจะต้องกินโรตี ต้องกิน Vetgetarian หรือ มังสวิรัติ ส่วนคนทางใต้จะนิยมกินข้าวมากกว่าโรตี เช่น ข้าว Biryani ลักษณะคล้ายๆข้าวหมกไก่บ้านเรา แต่ที่อินเดียจะมีทั้งข้าวหมกไก่และข้าวหมกแพะที่เค้านิยมทานกัน และในที่สุดผมก็เดินมาถึงสถานีรถไฟ Chhatrapati Shivaji Terminus คนอินเดียนิยมเดินทางข้ามเมืองด้วยรถไฟเพราะสะดวกมีเกือบทุกเมืองทั่วประเทศและค่าใช้จ่ายในการเดินทางถูกกว่าเครื่องบิน ในอินเดียเป็นรถไฟรางคู่ทั้งหมด ผมเคยเดินทางด้วยรถไฟ 2 ครั้งในอินเดีย ครั้งแรกตอนเดินทางมาถึงอินเดียปีแรก เดือนแรกเลยก็ว่าได้ รุ่นพี่ให้ผมเดินทางไปกับคนอินเดีย จากเมืองปูเน่ (Pune) รัฐ Maharashtra จากฝั่งตะวันตกของอินเดีย ไปยังเมืองไวแซก (Visakhapatnam) ที่อยู่ในรัฐ Andhra Pradesh ฝั่งตะวันออกของอินเดีย นับว่าเป็นครั้งแรกของการนั่งรถไฟในอินเดีย ถามคนไทยหลายๆคนในที่ทำงานไม่ค่อยมีใครเคยเดินทางด้วยรถไฟน้อยมาก นอกจากคนเก่าแก่ที่อยู่มาหลายปี ถึงวันนี้ต้องขอบคุณรุ่นพี่คนนั้นที่ทำให้ผมมีประสบการณ์ใหม่ๆในอินเดียเอามาเล่าได้อยู่เรื่อยๆ เพราะมันเป็นระยะทาง 1,500 กิโลเมตร มากที่สุดที่เคยนั่งรถไฟมาเลย ประมาณถ้าเทียบจากเชียงใหม่ถึงนราธิวาส ได้เลยล่ะ ซึ่งแน่นอนผมใช้เวลา 1 วันเต็มๆในการเดินทาง 25 ชั่วโมง ส่วนครั้งที่ 2 ที่เดินทางด้วยรถไฟ คือการเดินทางจากบังกาลอร์ไปเมืองเชนไน ในรัฐ Tamil Nadu รัฐทางใต้ไปทางตะวันออกของเมืองบังกาลอร์เป็นรถไฟที่จอดแค่ 2 สถานี คือ สถานีตรงกลางผมจำชื่อไม่ได้ กับสถานีปลายทางคือ เมืองเชนไน ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ถ้าเดินทางด้วยรถยนต์ก็ประมาณ 5-6 ชั่วโมงเช่นกัน กลับมาที่มุมไบ หลังจากเดินมาถึงสถานีรถไฟและถ่ายรูปได้หนำใจตามต้องการ ถึงตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้วประมาณ 17:30 ผมเลยเรียก Ola Cab (India Startup Taxi App) เพราะเริ่มเดินไม่ไหวละ เพื่อไปที่ Noriman Point จุดชมวิวที่สวยงามของเมือง Mumbai การเดินทางวันแรกขอปิดท้ายด้วยรูปพระอาทิตย์ตกดิน ที่ Noriman Point หมายเหตุ : ภาพถ่ายทั้งหมดโดยนักเขียน JK.PK.