ตั้งแต่โควิดเข้าโจมตียุโรปเมื่อต้นปีที่แล้ว สถานการณ์ก็ผ่อนคลายเล็กน้อยช่วงหน้าร้อน ให้เราได้พักผ่อนหย่อนกายและใจ จนเมื่อฤดูใบไม้ร่วงเริ่มมาเยือน อากาศเริ่มเย็นลง สถานการณ์ก็เริ่มเลวร้ายอีกครั้ง รอบที่แล้วผู้เขียนก็รอดพ้นจากเชื้อโรคร้าย เนื่องจากพยายามป้องกันตัวเองสุดชีวิต เพราะรู้ว่าถ้าเราติดขึ้นมาจริง ๆ โอกาสตายหรือรอด มิอาจจะคาดเดาได้ เพราะบางคนร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวก็ป่วยหนัก จนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือบางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นเลี่ยงได้ก็เลี่ยง รอดพ้นมาได้เกือบปีจนถึงปลายปี เช้าวันจันทร์ ต้นเดือนธันวาคมหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะป่วย ผู้เขียนเดินเข้าไปในออฟฟิศ โดยปราศจากผ้าปิดปาก หรือหน้ากากป้องกัน ก็คิดไว้ว่าแค่จะเข้าไปทักทายไม่กี่นาที และจะพยายามเว้นระยะห่างจากผู้คนให้เกินสองเมตร สุดท้ายก็นั่งอยู่ในออฟฟิศนั้นเกินสิบนาที ความชะล่าใจ บวกกับความประมาท สุดท้ายก็พลาดจนได้เช้าวันเสาร์ ที่สดใส รีบตื่นแต่เช้ามาอ่านหนังสือ ทำการบ้านส่งอาจารย์ จนถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกจุก ๆ ที่คอ ระคายในคอแล้วก็เริ่ม ไอ ไอ ไอ ไม่ใช่ไอ เลิฟ ยู แต่มันคือไอค้อก ไอแค้ก ไอแบบระคายในคอเบา ๆ วันอาทิตย์ ปวดท้องแต่เช้า ท้องเสียหนึ่งครั้งตอนช่วงเช้า หลังจากนั้นอาการท้องเสียก็หายไป แต่อาการไอ ก็ยังคงอยู่ อาการเจ็บคอก็จะมีช่วงเช้า ๆ พอช่วงบ่าย ๆ ก็หายไป รู้สึกไม่อยากอาหาร เพลีย ปวดตามตัวนิด ๆ หน่อย ๆ ช่วงกลางคืนรู้สึกเหมือนใครเอามีดมาแทงเข้าที่ไตทั้งสองข้าง วันจันทร์ ก็ไปตรวจโควิดตามเวลาที่บุ๊คไว้ ตรวจเสร็จก็กลับมารอผลตรวจที่บ้าน ที่นี่ถ้าอาการไม่หนักจริง ก็อย่าหวังจะได้เฉียดกรายไปนอนสังเกตอาการในโรงพยาบาลนะขอบอก ช่วงรอผลก็ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวสั่นเป็นช่วง ๆ ไม่มีไข้ หายใจก็ยังปกติ กลางวันอาการค่อนข้างดี แต่กลางคืนไอหนักมาก ไอแบบแห้ง วันนี้อาการเจ็บคอหายไปแบบไร้ร่องรอย ก็ดูแลตัวเองตามอาการ กินน้ำชา น้ำอุ่น น้ำซุป กินยาพารา แอสไพริน ช่วงที่รู้สึกไม่สบายตัวแรก ๆ ก็คิดว่าตัวเองมโนคิดมากจนเกิดความเครียด จนเกิดการมโนว่าตัวเองป่วย วันอังคาร อาการเจ็บคอกลับมาอีกรอบ อาการไอก็นิด ๆ หน่อย ๆ ไข้ก็ไม่เกิน 38 องศา มีอาการเย็นที่เท้าสองข้าง ใช้วิธีนวดและใส่ถุงเท้า เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้เท้า ไม่อยากอาหาร แต่ก็ฝืนซดน้ำซุปร้อน ๆ ให้คล่องคอ วันพุธ เริ่มมีน้ำมูกเล็กน้อย อาการไอมีเป็นครั้งคราว ช่วงที่คุยเยอะ ๆ ก็จะหายใจไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้หายใจลำบาก เราก็ดูแลตัวเองอยู่ที่บ้าน วัดไข้ มีไข้ต่ำ ๆ ไม่เกิน 38 องศา ช่วงบ่าย ๆ มีข้อความให้ล็อกอินไปตรวจสอบประวัติการเจ็บป่วยของตัวเอง ในใจก็ภาวนาให้ไม่ใช่โควิด แต่สุดท้ายก็ผลการตรวจเป็นบวกอย่างที่คิด และกลัวนั่นแหล่ะ "คนเรานี่นะ หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีความจริงไม่ได้จริง ๆ" เป็นแล้วจะให้ทำยังไง ก็สู้ต่อไปนะสินะชาวโลก วันพฤหัส จามบ้าง น้ำมูกบ้างนิดหน่อย อาการปวดตามตัวก็หายไป ไอก็ไม่มี สบายดีทุกอย่าง วันศุกร์ อาการดีขึ้นมาก ปวดหัวนิด ๆ หน่อย ๆ พอวันจันทร์ ก็กลับไปทำงานได้ตามปกติ แต่รู้สึกว่าตัวเองหอบเหนื่อยช่วงเดินเยอะ ๆ หรือเดินขึ้นบันได สิ่งที่ตามมาอีกอย่าง ก็คือ อาการปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย เป็น ๆ หาย ๆ จนถึงทุกวันนี้อาการก็ยังเป็นอยู่แบบเป็น ๆ หาย ๆ สรุปคือตั้งแต่ป่วย นอนดูแลอาการตัวเองที่บ้าน อาการก็แทบจะไม่แตกต่างจากไข้หวัดทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็ถือเป็นความโชคดีของผู้เขียนที่ได้รับเชื้อ ที่อาการไม่รุนแรง และหายเองได้ภายในเจ็ดวัน แต่ทุกคนก็อาจไม่ได้โชคดีเหมือนผู้เขียน หรือจะพูดอีกนัยนึงร่างกายแต่ละคน อาจจะตอบสนองต่อเชื้อโรคที่แตกต่างกัน อาการก็อาจจะรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน ผู้เขียนเองพยายามปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่คนใกล้ตัว และแล้วเราก็ทำสำเร็จ ไม่มีใครเจ็บป่วยต่อจากเรา ทุกอย่างหยุดได้ด้วยตัวเรา ไม่ต้องมีใครมาบังคับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ของนักเขียนโดยตรง เนื่องจากแต่ละคนอาจแสดงอาการต่างกัน หากเป็นไข้และอยู่ในพื้นที่เสี่ยงควรไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วผู้เขียนจะมาแชร์การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อตามแบบฉบับของผู้เขียนในโอกาสต่อไปเครดิตภาพ : ภาพปก Pandemic Corona Virus Concept / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 & 3 โดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !