สวัสดีจ้าทุกคน...วันนี้ผู้เขียนจะมาเขียนบทความจิตวิทยาเช่นเคย หลายคนคงเคยมีประสบการณ์คนชอบแซะคนโน้นคนนี้ให้ดูไม่ดี จะว่าไปพูดแก้ต่างให้คนชอบแซะเนี่ย เป็นอะไรที่เสียเวลามาก ผู้เขียนเองก็เคยเจอประสบการณ์คนชอบแซะอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งเคยแซะประมาณว่า "ไหนไม่รู้จักกันไง...ศีลเสมอกันดีนี่" นั่นก็แปลว่าคนนี้ต้องมีกลไกทางจิตที่ผิดปกติแน่ ๆ เลย แต่ก็โชคดีที่ผู้เขียนไม่ได้ศีลเสมอกับคนที่ขี้แซะคนนั้น ขอหัวเราะแรง ๆ คนดี ๆ ที่ไหนจะมาแซะคนอื่นเพื่อให้ตนเองดูดีจริงไหม เรื่องแปลก ๆ ก็มีแต่เรื่องอรรถรสได้ไม่เว้นวันเลยจริง ๆ แก้ยากกว่าโควิดก็เรื่องนิสัยคนชอบแซะให้คนอื่นเสียหายนี่แหล่ะ เพราะของแบบนี้ไม่ใช่แค่สันดานอย่างเดียว Credit pic : pexels ไม่ค่อยอยากจะทำความเข้าใจกับคนที่ชอบแขวะให้เสียหายสักเท่าไหร่ เพราะผู้เขียนก็ไม่ชอบคนแบบนี้สักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะชีวิตจริงหรือ Social Media ก็เป็นช่องทางในการแซะได้ง่ายกว่าคนอื่น เรื่องของคนชอบแซะ ชอบแขวะให้คนอื่นเสียหาย แน่นอนว่ามันคือความสุขที่ได้แก้คันปากด้วยการทำให้คนเสียหายด้วยปากเนี่ย อันนี้ง่ายดีในด้านสร้างความต่ำตมให้คนอื่น แต่มันก็สื่อถึงกลไกทางจิตใจของคนนิสัยชอบแซะคนอื่นได้ชัดเจน เอาล่ะจะมาอธิบายกลไกทางจิตใจต่อ ซึ่งจะให้น้ำหนักไปทางกลไกทางจิตใจแบบก้าวร้าว เพราะคนที่จะแซะคนอื่นได้ต้องเป็นคนที่ก้าวร้าวในจิตใจเยอะพอสมควร จะแบ่งได้ดังนี้ กลไกทางจิตใจแบบก้าวร้าวมี 2 กรณี 1. Active Aggressive (ก้าวร้าวแบบสายบู๊) คนกลุ่มนี้จะก้าวร้าวในเชิงแสดงท่าทีตรงไปตรงมา พูดจริงทำจริง ไม่อ้อมค้อม คนเหล่านี้ค่อนข้างจะแสดงออกชัดเจนว่าคนนี้ก้าวร้าว เก็บอารมณ์ไม่เก่ง พร้อมบวกกับคนที่ไม่ชอบได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะใช้กำลัง หรือด่ากันตรง ๆ แบบซึ่ง ๆ หน้า จะได้เห็นกันชัด ๆ ไปเลยว่าจะทำอะไร เพราะอะไรถึงทำเช่นนั้น จะเห็นได้ชัดจากกิริยาที่ทำสิ่งนั้น รวมถึงคำพูดแรง ๆ ในสังคมออนไลน์ 2. Passive Aggressive (ก้าวร้าวแบบเก็บ ๆ ) คนกลุ่มนี้จะทำอะไรก็ทำกันแบบไม่แน่นอน ชัดเจนเหมือนข้อแรก มักจะเป็นแบบ Off-Record หรือกระทำกันหลังไมค์ เช่น แซะคนที่ไม่ชอบกับคนที่ถูกคอคุยด้วยกัน เพราะสิ่งที่ทำมักจะอุบไม่ให้ใครรู้ หรือพูดลอย ๆ ตั้งใจให้กระทบคนอื่นโดยไม่เอ่ยชื่อ และการก้าวร้าวในกลุ่มนี้จะมีการเรียกร้องความสนใจไปในตัว เพื่อดึงดูดให้คล้อยตามเกม Credit pic : pexels เมื่อเข้าใจกลไกทางจิตใจแบบก้าวร้าวนั้น ย่อมรู้เลยว่า การแซะคนอื่นก็คือการก้าวร้าวรูปแบบหนึ่ง แต่การแซะ ไม่ว่าจะแซะในสเตตัส แซะทางแชทคนอื่น หรือแซะแบบพูดลอย ๆ มันก็ได้รับความนิยมต่ำลง เพราะมันคือการสื่อสารทางลบ (Negative Message) จะทำให้คนที่ได้รับสารจากการแซะไม่ว่าจะโดยตรง (กรณีเห็นเองกับตา) หรือโดยอ้อม (มีคน Recommend ให้ทราบ) จะทำให้ดูไม่ดีเลยในสายตาคนที่เห็นมัน แม้ว่ามันจะดีกว่าการด่าใส่กันตรง ๆ ก็ตาม แต่จะว่าไปแซะกันไปแซะกันมาก็ฟ้องสุขภาพจิตของคนที่ชอบแขวะคนอื่นได้เช่นกัน โรคทางจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับ "การแซะ" 1. Histrionic Personality Disorder หรือเรียกว่าโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบฮิสทีเรีย ซึ่งอาการชอบแซะ ชอบแขวะคนอื่น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรียกร้องความสนใจ เมื่อถูกลดความสนใจก็จะอยู่ไม่เป็นสุข กระวนกระวาย แต่ถ้าแขวะหรือแซะคนอื่น ก็จะเป็นการกระตุ้นให้อีกฝ่ายสนใจในสิ่งที่ตนเองทำ หรือแขวะคนอื่นทุกอย่างให้ดูไม่ดีในสายตาคนนั้นไปเลย แล้วคนเหล่านั้นจะมีความสุขมากที่คนที่เราทำให้ดูไม่ดีในสายตาใคร ๆ นั้นสำเร็จ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคนที่แขวะคนอื่นจะดูเหมือนคน "จิตปกติ" หรอกนะ 2. Narcissistic Personality Disorder หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "โรคหลงตัวเอง" แม้ว่าจะดูไม่ร้ายแรงอะไรมากนัก แต่โรคนี้มีกลไกบางอย่างเช่น คนที่เป็นมักจะชอบออกคำสั่ง ซึ่งก็คือหนึ่งในอาการของโรคหลงตัวเอง พอมีอะไรขัดใจนิดขัดใจหน่อยก็จะหาเรื่องแซะ แขวะคนอื่น เพื่อที่ตัวเองจะได้การตอบรับในสิ่งดี ๆ คืนมา และคนที่เป็นโรคนี้จะไม่ยอมรับตัวเองว่า "ป่วย" 3. Bipolar Disorder หรือโรคอารมณ์สองขั้ว คนกลุ่มนี้จะไม่สามารถสมดุลทางอารมณ์ของตนเองได้เลย เพราะบางครั้งมีความ Mania หรือบทจะดีใจก็ดีใจสูงกว่า แต่อีกช่วงกลับมีช่วง Depression หรือบทจะเศร้าก็เศร้าสูงกว่า จึงไม่สามารถควบคุมอาการของตนเองได้ หรือถ้ามีอะไรที่เป็นจุดเร้าก็สามารถแขวะคนอื่นได้เนื่องจากอารมณ์เปลี่ยนไปมาสลับกันจนบอกไม่ถูก และจะหงุดหงิดง่ายเมื่อมีอะไรมาสะกิด 4. โรคติดโซเชียล ในโลกโซเชียลเป็นแบบโลกเสมือน (Virsual Social) จึงมีโอกาสเสี่ยงทางสุขภาพจิตได้ง่ายมาก เช่น มีการเสพติดยอดไลค์เพื่อให้รู้ว่าฉันสำคัญ รู้สึกมีความสุขปลอม ๆ ในโลกของตนที่ไม่ใช่ความจริง เกิดการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น และที่เกี่ยวข้องกับการแขวะ แซะคนอื่นนั่นก็คือ Hate Speech ในการว่าร้ายให้รุนแรง แสดงความเกลียดชัง ไม่ว่าจะโพสต์ หรือจะคอมเมนท์เพื่อไปผสมโรงด้วย หรือใช้คำพูดสาดเสียเทเสียหมายจะตายกันไปข้างก็ว่าได้ อย่าลืมว่าการที่แขวะหรือแซะคนอื่นในข้อนี้ น่ากลัวกว่าคนที่มีปืนเป็นอาวุธเสียอีก เพราะจะทำทุกอย่างด้วยความสะใจ ไม่สนว่าจะผิดหรือจะถูก Credit pic : pexels ทุกคนมีโอกาสแซะอีกฝ่ายด้วยความโกรธ และเราก็ห้ามใครแขวะเราก็ไม่ได้ การแซะก็เป็นปกติของปุถุชนที่ต้องเจอ เพราะในโลกนี้ไม่มีคนถูกนินทา แม้แต่เรื่องแซะ เรื่องแขวะก็เช่นกัน สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นบางส่วนที่ทำให้แซะคนอื่นแบบเสีย ๆ หาย ๆ แต่ทั้งนี้เราทำได้เพียงแค่คิดเสียว่า คนที่พูดให้ร้ายคนอื่น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ไม่น่าจะเป็นคนดีสักเท่าไหร่ คนดีเขาไม่ใช้คำพูดแขวะให้คนอื่นต่ำลง เขาจะพูดอย่างมีสติ และให้มีกำลังใจสู้ต่อ ส่วนคนที่แขวะคนอื่นอย่างสนุกปาก หรือแซะแบบไม่รู้จักคิด ต่อให้ทำอาชีพที่สูงส่งกว่า ถ้าเอามาตรฐานต่ำ ๆ ของตนเองที่เป็นอยู่ ตัดสินคนอื่นแบบต่ำ ๆ ยังไงมันก็ไม่ทำให้สูงส่งอยู่ดี สิ่งที่เขากระทำมันฟ้องว่าคนที่ใช้คำพูดทำร้ายคนอื่น ภาวะทางจิตคนเหล่านั้นไม่ปกติแน่นอนล่ะ ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าเรารู้ดีว่าสิ่งที่เป็นเราไม่ได้ทำร้ายใคร เชื่อมั่นในความดี หนักแน่นเข้าไว้ อย่างน้อยเราก็ยังมีสติสัมปชัญญะพอที่จะรู้ผิดชอบชั่วดี ปล่อยให้ความชอบพูดให้คนอื่นดูแย่มันฟ้องที่ตัวคนเหล่านั้นจะดีกว่า ให้มันฟ้องไปเลย...ง่ายดี ไม่ต้องสนใจว่าคนที่แขวะจะด่าว่ายังไงก็ตาม ผู้เขียนขอจบบทความเพียงเท่านี้...สวัสดีจ้า :) Credit pic : pexels