คนยุคเจนเอ็กซ์กับเจนวาย ย่อมคุ้นเคยกับภาพยนตร์ที่หลากหลายรสชาติอย่างฮ่องกง ที่มีภาพยนตร์แก๊งสเตอร์อย่าง กู๋หว่าไจ๋ การเฉือนเฉือนระหว่างผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กับมาเฟียใน Infernal Affair คนสองคม หรืองานสุดอาร์ตของผู้กำกับ หว่องกาไว และอาจจะคุ้นเคยกับชื่อของนักแสดงอย่าง หลิวเต๋อหัว, เฉินหลง, หลี่หมิง หรือ เหลียงเฉาเหว่ย มากกว่าแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์ของเกาหลีใต้นั้น มาแรงและน่าสนใจมิใช่น้อย อีกทั้งการคว้าออสการ์ของเรื่อง พาราไซต์ ที่กำกับโดย บอง จุนโฮ ก็ยิ่งทำให้แวดวงภาพยนตร์ของเกาหลีใต้น่าจับตามองยิ่งนัก ซึ่งกว่าที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเกาหลีใต้จะมาถึงวันนี้ได้นั้น ไม่ง่ายและมีปัญหากับวิธีแก้ไขที่น่าสนใจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของดินแดนโสมแห่งนี้ เริ่มขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1919 ในยุคที่จักรวรรดิเกาหลีอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น แน่นอนว่าการทำงานในช่วงนี้ ก็เป็นเทคนิคการสร้างแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาช่วยผลิตในช่วงแรก โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของเกาหลีคือ ชุนฮย็อง จ็อน ออกฉายในปี ค.ศ. 1922 เป็นเรื่องราวนิทานพื้นบ้านของเกาหลี เล่าถึงกวีหญิงสาวที่มีความรักต่อลูกชายนักการเมือง ซึ่งเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เงียบ ตามเทคโนโลยีในยุคสมัยนั้น ต่อมาได้กลายเป็นงานคลาสสิคที่ได้นำมารีเมคอยู่บ่อยครั้งแต่ก็มีปัญหาคือการนำเสนอภาพยนตร์ในเกาหลี ก็ถูกจำกัดด้วยการเซ็นเซอร์จากฝ่ายปกครองอย่างญี่ปุ่นที่มีความเข้มงวด มีการควบคุมงบประมาณ เรียกว่าจะสร้างภาพยนตร์เกาหลีได้สักเรื่อง ถ้าทางญี่ปุ่นไม่อนุมัติ ก็ไม่สามารถสร้างได้ และตลอดเวลา 35 ปีในการปกครองเกาหลีของญี่ปุ่นนั้น มีภาพยนตร์สร้างไปประมาณ 157 เรื่อง เฉลี่ยตกปีละ 4-5 เรื่องเท่านั้นต่อมาในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เกาหลีเป็นเอกราช แต่ก็เกิดเป็นสงครามในคาบสมุทรเกาหลีและสิ้นสุดลงโดยการแบ่งแยกเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งผลของสงครามครั้งนี้ ทำให้ฟิล์มภาพยนตร์บางส่วนของเกาหลีถูกทำลายลงไปด้วย ถือเป็นการสูญเสียหลักฐานทางวัฒนธรรมครั้งหนึ่งของชาวเกาหลีโดยหลังสงครามจบลง ต่างฝ่ายต่างเร่งฟื้นฟูประเทศของตัวเองทันที โดย รี ซังมัน ประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ ก็ได้ออกนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจมากมาย โดยหนึ่งในนั้น มีเรื่องการยกเว้นภาษีโรงภาพยนตร์ เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างภาพยนตร์ออกฉายและให้ประชาชนออกไปบริโภคมากขึ้น โดยในนโยบายนี้ ยังได้เปิดรับให้ต่างชาติเข้ามาเผยแพร่เทคโนโลยีและช่วยลงทุนในการถ่ายทำ และผลก็คือเศรษฐกิจฟื้นฟู อีกทั้งยังช่วยให้วงการภาพยนตร์เกาหลีใต้มีการพัฒนา ก่อเกิดบริษัทสร้างภาพยนตร์ขึ้นมากมายแต่การฟื้นฟูที่ต้องนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด ย่อมมีปัญหาในเรื่องของการเมืองเข้ามา รี ซังมัน ถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริต คอรัปชั่นสูง ผู้คนเริ่มไม่พอใจ มีการประท้วง ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้น ก็จบลงโดยการรัฐประหารยึดอำนาจของ นายพลพัค จุงฮี ที่มีการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในแทบจะทุกด้าน ซึ่งก็ทำให้สื่อในเกาหลีใต้ถูกเซ็นเซอร์อย่างหนักหน่วง รวมถึงการสร้างภาพยนตร์ที่มีการคุมเข้มและต้องผ่านการนำเสนอจากภาครัฐก่อนเสมอ ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเกาหลีใต้ตกต่ำลง จากที่เคยสร้างเฉลี่ยประมาณ 70 เรื่องต่อปี ลดลงเหลือเพียง 16 เรื่องต่อปีโดยในหนังสือเรื่อง อะ คิม จองอิล โปรดักชั่น เขียนโดย พอล ฟิชเชอร์ ที่เล่าถึง ชิน ซังอ้ก ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ที่ถูกทางเกาหลีเหนือลักพาตัวให้ไปสร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อให้รัฐบาลเกาหลีเหนือ จนเขาหลบหนีมาได้นั้นชิน ซังอ้ก ได้เล่าไว้ในหนังสือว่า การที่รัฐบาลของ พัค จุงฮี เข้มงวดในการนำเสนอสื่อต่าง ๆ ทำให้บริษํทภาพยนตร์หลายบริษัทล้มละลาย และในปี 1947 ชิน ซังอ้ก ได้ส่ง อะ เธอร์ทีน เยียร์ส โอลด์ บอย ส่งไปร่วมเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน โดยไม่ผ่านกระทรวงสารสนเทศของรัฐบาล เมื่อทางเบอร์ลินส่งหนังสือคำเชิญมา ทางรัฐบาลก็ทำการปฏิเสธทันที เพราะ ชิน ซังอ้ก ไม่ได้เสนอผ่านคณะกรรมการก่อน อันเป็นการบอกได้ชัดเจนถึงความเข้มงวดของรัฐบาล พัค จุงฮีจนกระทั่งหมดยุคของนายพล พัค จุงฮี ที่ถูกลอบสังหาร ความเข้มงวดของรัฐบาลยังคงมีอยู่ แต่ก็เริ่มมีผ่อนคลายลง การนำเสนอสื่อต่าง ๆ เริ่มมีความเสรีขึ้นแบบขั้นบันได ในลักษณะค่อย ๆ ผ่อนปรนมาทีละระดับยุคประธานาธิบดี ชอน ดูฮวาน ในปี ค.ศ. 1987 ภาพยนตร์เรื่อง ซิสบาจอี ในชื่ออังกฤษ The Surrogate Woman เล่าถึงเรื่องความรักของขุนนางในราชสำนักที่มีให้กับสาวใช้ผู้ต่ำต้อยในยุคโชซอน ซึ่งเรื่องนี้ได้คว้ารางวัลในเวทีต่างประเทศมากมายและส่งให้ คัง ซูยอน นักแสดงนำของเรื่อง คว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมที่เทศกาลภาพยนตร์เวนิซในปี 1987 อีกด้วย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นักแสดงจากเกาหลีใต้ ได้รางวัลจากเวทีประกวดยักษ์ใหญ่ นับตั้งแต่เริ่มสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาส่งผ่านไปจนถึงยุคของประธานาธิบดี โน แทอู ก็ได้มีการแก้กฎหมายลดความเข้มงวดและผ่อนปรนในการนำเสนอสื่อต่าง ๆ มากขึ้น และหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือการชูนโยบาย ส่งออกวัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิงและภาพยนตร์ โดยเปิดโอกาสให้การสนับสนุนเอกชนมาขอทุนจากรัฐบาลไปสร้างงาน รวมถึงการผ่อนปรนความเข้มงวดการนำเข้าภาพยนตร์จากต่างประเทศซึ่งการผ่อนปรนการนำเข้าภาพยนตร์จากต่างประเทศนี้เอง ที่ทำให้ประชาชนหันไปรับชมภาพยนตร์ต่างประเทศกันมากขึ้น เนื่องจากไม่ได้รับชมมานาน จากความเข้มงวดในยุคนายพล พัค จุงฮี จนทำให้รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ อันเป็นจุดเปลี่ยนของวงการภาพยนตร์เกาหลีใต้อีกครั้งโดยการแทรกแซงนี้ มีการเอื้อประโยชน์ให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศได้เติบโตขึ้น โดยการกำหนดวันเข้าฉายภาพยนตร์เกาหลีใต้ไว้ที่อย่างน้อย 146 วันต่อ 1 ปี อีกทั้งยังกำหนดให้ภาพยนตร์เกาหลีใต้ ต้องฉายในสัดส่วน 1 ใน 4 ของจำนวนโรงฉาย และการสนับสนุนเงินทุนให้ปีละ 10 เรื่อง เรื่องละ 20 ล้านบาทโดยประมาณ ซึ่งตรงจุดนี้ ทำให้มีการยกระดับคุณภาพงานมากขึ้น เพราะการยื่นขอทุนในจำนวนขนาดนั้น ต้องเป็นงานที่มีคุณภาพจริง ๆ แต่นั่นก็ทำให้เกาหลีใต้มีบริษัทสร้างภาพยนตร์เกิดใหม่ขึ้นมากมาย และมีภาพยนตร์ผลิตออกมาปีละหลายสิบเรื่อง และพากันแข่งขันถึงคุณภาพอย่างจริงจัง เพื่อคว้าสิทธิ์ในการออกฉายในเทศกาลนานาชาติโดยในนโยบายของ โน แทอู นี้เอง ที่ส่งให้กลุ่มทุกยักษ์ใหญ่อย่าง แชร์โบล เข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยแชร์โบลตอนนั้น ที่มี ซัมซุง แดวู และ ฮุนได เป็นธุรกิจหลัก ได้ลงทุนสร้างภาพยนตร์เรื่อง Marriage Story และประสบความสำเร็จ เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในปี 1992ต่อมาในปี 1999 ซัมซุงที่อยู่ในกลุ่มแชร์โบลได้ลงทุนสร้างเรื่อง Shiri ที่เกี่ยวกับสายลับเกาหลีเหนือพยายามเข้ามาสังหารบุคคลสำคัญในเกาหลีใต้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดและประสบความสำเร็จทางรายได้อีก ซึ่งเรื่อง Shiri ยังได้ส่งให้เกิดการสร้างซีรีส์ชื่อดังอย่าง IRIS อีกด้วย และนั่นก็ทำให้เกิดการผูกขาดของกลุ่มนายทุนยักษ์ใหญ่ทั้งเรื่องเงินทุน การสร้าง การโปรโมท แม้จะมีการผูกขาด แต่ก็ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเกาหลีใต้เติบโตขึ้นจนกระทั่งภาพยนตร์เรื่อง Oldboy เคลียร์บัญชีแค้นจิตโหด ที่กำกับโดย พัค ชานวุค ที่ถือว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการภาพยนตร์เกาหลีใต้ เรื่องนี้นำแสดงโดย ชเว มินซิก ที่มีเนื้อหาดุดันและสะเทือนใจ ได้ชนะรางวัลกรังปรีซ์ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อปี 2004 ก็ทำให้แวดวงภาพยนตร์เกาหลีใต้ถูกจับตามองและนั่นทำให้ผู้สร้างหลายคน ต่างพากันพัฒนาสร้างงานออกสู่สากลมากขึ้น และทำให้มีผู้กำกับชาวเกาหลีใต้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติมากขึ้นเช่น บอง จุนโฮ ปาร์ค ชานวุค คิม จีวุน ลี ชางดง คิม คีดุ๊ก, นา ฮงจิน ด้านนักแสดง ก็มีไปลุยระดับนานาชาติกันมากมายเช่น ลี บยองฮุน, จาง ดงกัน, ซอง คังโฮ, ชเว มินซิก, ช็อง อูซ็อง, ฮา จุงอูจนกระทั่งออสการ์ครั้งที่ 92 ภาพยนตร์เรื่อง พาราไซต์ ได้เข้าชิงถึง 6 สาขา และเป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ได้เข้าสู่รอบชิงของรางวัลอันทรงเกียรตินี้ และเรื่องนี้ก็คว้าไปถึง 4 รางวัล โดยรวมถึงรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม อีกทั้งเป็นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์จากเอเชียเรื่องแรกที่คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยมความสำเร็จเหล่านี้ นอกจากกฎหมายและภาครัฐที่เอื้ออำนวยให้เกิดการพัฒนาแล้ว ก็ยังมีการร่วมมือของการต่อยอดองค์ความรู้งานสร้างจากต่างประเทศ ที่ได้นำมาพัฒนาจนโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบฉบับภาพยนตร์เกาหลีใต้เชิงอรรถEast Asian Pop Culture: Analysing the Korean WaveSouth Korean Golden Age Melodrama: Gender, Genre, and National CinemaOriginal 'Oldboy' Gets Remastered, Rescreened for 10th Anniversary in South KoreaSeoul Searching: Culture and Identity in Contemporary Korean CinemaWikipedia: The Surrogate WomanWikipedia: Marriage Story (1992 film)Wikipedia: Shiri (film)