ภาพปกจาก pexels ท่ามกลางข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย จึงอาจทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกกังวลว่าขึ้นมาว่าตนเองนั้นจะได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วหรือไม่ เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่กระจายได้ง่าย และสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีอาการเบื้องต้นไม่แตกต่างจากไข้หวัดทั่ว ๆ ไปอีก แต่เนื่องจากในแต่ละวันจะมีผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจด้วยอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราก็ไม่สามารถทราบได้ว่าในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านั้นจะมีใครที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสในการติดต่อและสัมผัสกับบุคคลอื่น ๆ วิธีการที่ดีที่สุดในการตอบข้อสงสัยนี้ก็คือการประเมินความเสี่ยงในการติดโควิด-19 เบื้องต้นก่อนที่จะไปรับการตรวจเพิ่มเติมจากโรงพยาบาลนั่นเองค่ะ ภาพจาก pexels สำหรับการประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเองก็ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพราะปัจจุบันได้มีหลายหน่วยงานออกมาพัฒนาแบบประเมินความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเองให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการคัดกรองได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่มีความสงสัยว่าตนเองอาจเข้าข่ายหรือสงสัยว่าอาจติดเชื้อนั้นได้ทราบถึงความเสี่ยงของตนเองได้ในเบื้องต้น ตัวอย่างเช่น แบบประเมินของโรงพยาบาลราชวิถี โดยในแบบประเมินก็จะประกอบไปด้วยข้อคำถามที่เกี่ยวข้องกับประวัติในการสัมผัสผู้ติดเชื้อ เช่น ประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่แพร่ระบาด ประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลกลุ่มเสี่ยง รวมถึงอาการที่เข่าข่ายติดโควิด-19 ต่าง ๆ ภาพจาก rajavithi.emergencymed.net นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีการประเมินตนเองผ่านการพูดคุยตอบคำถามกับ Chat Bot อย่าง Covid Bot ใน Facebook โดยจะมีลักษณะการประเมินอาการผ่านการถามตอบกันทางแชท ซึ่งตัว Covid Bot นั้นนอกจากจะช่วยเราประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นแล้ว ก็ยังมีการให้คำแนะนำถึงข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมอีกด้วย เช่น หากผบการประเมินพบว่าเราอยู่ในระดับความเสี่ยงติดเชื้อต่ำ ก็ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตรวจหาโควิด-19 เพิ่มเติม ซึ่งหากใครอยากลองทดสอบดูก็สามารถกดเข้าไปลองเล่นกันดูได้เลยค่ะ ภาพจาก Covid Bot และสำหรับอาการที่เข้าข่ายสงสัยปอดอักเสบจากโควิด-19 จากข้อมูลของกรมการแพทย์ ก็ได้แก่ มีไข้ (วัดอุณหภูมิร่างกายได้มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป) ร่วมกับมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ มีอาการไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก ในขณะที่ไข้หวัดธรรมดานั้น เป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนต้น จึงอาจมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ได้เช่นเดียวกัน แต่จะไม่มีอาการหอบเหนื่อยหายใจลำบากซึ่งเป็นอาการเฉพาะที่เกิดจากการติดเชื้อบริเวณปอดค่ะ ภาพจาก freepik ดังนั้น หากเราไม่ได้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลกลุ่มเสี่ยง และไม่ได้เดินทางไปยังพื้นที่แพร่ระบาด แต่มีอาการไข้ร่วมกับอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจโดยที่ไม่ได้มีอาการหายใจหอบเหนื่อย เราอาจจะมีอาการของโรคไข้หวัดธรรมดา ก็ให้รับประทานยารักษาตามอาการ เช่นหากมีไข้ก็ให้รับประทานยาพาราเซตามอล หากมีน้ำมูกหรือไอก็ให้รับประทานยาลดน้ำมูกและยาแก้ไอ รวมทั้งควรพักผ่อนให้เพียงพอจนกว่าอาการจะหายดีค่ะ แต่หากพบว่าตนเองนั้นจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดโควิด-19 สิ่งแรกที่ควรทำก็คือปฏิบัติตามมาตรการการกักกันตัวเองเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 14 วัน และหากพบว่าเริ่มมีอาการผิดปกติก็สามารถโทรแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้มากที่สุดพร้อมกับบอกเล่ารายละเอียดของอาการให้ฟังโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อลดโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อสู่บุคคลอื่น ๆ จากนั้นโรงพยาบาลก็จะปฏิบัติตามขั้นตอนในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อและจะทำการส่งตรวจเพื่อวินิจฉัยหาเชื้อไวรัสต่อไปค่ะ ภาพจาก freepik สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นโรคโควิด-19 ไม่ใช่การที่เราติดเชื้อแล้วจะต้องมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตแต่อย่างใด แต่ความน่ากลัวของโรคนี้อยู่ตรงที่ตัวโรคสามารถติดต่อได้ง่าย ทำให้ผู้ติดเชื้ออาจมีการส่งต่อแพร่กระจายเชื้อไปยังบุคคลรอบข้างได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเมื่อติดเชื้อและได้รับการรักษาจนหายแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำได้อีก ซึ่งหากทุกคนไม่ร่วมด้วยช่วยกันปล่อยให้มีการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น ก็อาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่ระบบสาธารณสุขไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ป่วยได้ค่ะ ภาพจาก freepik ดังนั้นทางที่ดีที่สุดเราทุกคนควรจะปฏิบัติตนในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด หากพบว่าตนเองเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงก็ควรกักกันตัวเองอย่างน้อย 14 วันเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ สำหรับบุคคลทั่วไปที่ยังไม่มีประวัติเสี่ยงติดเชื้อก็ควรหลีกเลี่ยงไม่เดินทางไปยังพื้นที่แพร่ระบาด ไม่อยู่ในแหล่งที่มีการรวมตัวกันของผู้คน หากเลี่ยงไม่ได้ก็จะต้องรักษาระยะห่างจากบุคคลอื่นอย่างน้อย 2 เมตร รวมทั้งยังจะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือให้สะอาด เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เรามีโอกาสปลอดภัยจากโรคระบาดร้ายตัวนี้ได้แล้วละค่ะ