สวัสดีครับ หลังจากที่ห่างหายจากการขีด ๆ เขียน ๆ ไปนาน ทำให้ผมได้มีเวลาอ่านหนังสือที่ดองเอาไว้ จนไปอ่านเจอปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ " What The Hell Effect " หรือ ปรากฏการณ์ช่างหัวมัน ซึ่งเราหลายคนกำลังตกอยู่ในปรากฏการณ์นี้อย่างไม่รู้ตัวปรากฏการณ์ช่างหัวมัน ถูกค้นพบและถูกตั้งชื่อโดย เจเน็ต โพไลวี่ ( Polivy Jenet ) และ เฮอร์มาน ซี ปีเตอร์ ( Herman C. Peter ) ซึ่งเป็นนักวิจัยด้านการควบคุมอาหารปรากฏการณ์ช่างหัวมัน ได้อธิบายถึงวงจรการทำตามใจตัวเองของตัวเรา เพราะยิ่งเราละอายใจเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทำตามใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น โดยนักวิจัยทั้งสองคน ได้สังเกตคนที่เข้าทำการทดลองควบคุมอาหาร โดยผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบกลุ่มแรก จะรู้สึกแย่มากเมื่อพวกเขากลับไปกินอาหาร ที่มีแป้งและไขมันสูง อย่าง พิซซ่า หรือเค้ก เพียงแค่ 1 คำเหล่าผู้เข้าร่วมการทดลองจะรู้สึกราวกับว่า ความตั้งใจในการควบคุมอาหารที่ตั้งใจไว้ ได้จบสิ้นลงแล้ว แทนที่คนกลุ่มนี้จะลดการกิน เช่น เค้กหรือพิซซ่าให้น้อยลง หรือเลิกกินไปเลย สิ่งได้กลับตรงกันข้าม เพราะพวกเขากลับพูดว่า "ช่างหัวมันเถอะ ไหน ๆ ฉันก็ทำลายแผนการควบคุมอาหารไปแล้ว ฉันจะสวาปามมันให้หมดแทนซะเลย" ( ใครเคยมีอาการแบบนี้บ้างยกมือขึ้น ) เช่น คนติดบุหรี่ที่พยายามเลิกบุหรี่ ถ้าเผลอสูบเข้าไปซักหนึ่งมวน ก็มักจมีแนวโม้ที่จะกลับไปสูบตามเดิมคนติดเหล้าที่พยายามเลิกเหล้า ถ้าเผลอกินซักหนึ่งแก้ว ก็มีแนวโน้มจะกลับไปดื่มอีกคนที่ตั้งใจจะควบคุมรายจ่าย โดยจะใช้ไม่เกิน xxxx บาทต่อเดือน ถ้าเผลอใช้จ่ายเกินงบที่ตั้งเอาไว้ ก็มีแนวโน้มจะล้มเลิกในเดือนถัดไปทำไมถึงเป็นแบบนั้น ? เพราะการยอมแพ้ทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง มันกระตุ้นให้เราทำบางสิ่ง เพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น และวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง นั่นก็คือ "การช่างหัวมัน"ถ้าอย่างนั้น...เราต้องยิ่งเข้มงวดกับตัวเองใช่หรือเปล่า ถึงจะไม่เข้าสู่วงจรปรากฏการณ์ช่างหัวมัน ?คำตอบคือไม่ใช่ครับ เพราะตัวอย่างจากงานวิจัย ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า "การตำหนิตัวเองแปรผันตรงกับการขาดแรงจูงใจ และการควบคุมที่แย่ลง" หรือ ยิ่งเรารู้สึกแย่กับตัวเองเท่าไหร่ กดดันตัวเองมากเท่าไหร่ เรายิ่งจะรู้สึกอยากช่างหัวมันง่ายยิ่งขึ้นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ "การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง คือ การให้อภัยตัวเองครับ ไม่ใช่ตำหนิตัวเอง" นักวิจัยพบว่า การมองความล้มเหลวส่วนบุคคลด้วยสายตาที่อ่อนโยน ทำให้มีแนวโน้มจะรับผิดชอบต่อความล้มเหลวนั้น มากกว่าการมองตนเองด้วยสายตาตำหนิ การให้อภัยตัวเองช่วยบรรเทาความรู้สึกละอายใจ และเจ็บปวดเมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นรู้แบบนี้แล้วใครที่ชอบกดดันตัวเองมาก ๆ ( แบบผม ) ก็ลองให้อภัยตัวเองกันดูบ้างนะครับ เพราะอะไรที่ตึงเกินไป ก็มักจะขาด อะไรที่หย่อนเกิน ก็มักจะใช้การไม่ได้ใครที่เคยเจอปรากฏการณ์ช่างหัวมันกับตัวเองมาบ้าง ก็คอมเมนต์มาแชร์ประสบการณ์กันได้นะครับ ^^ขอบคุณภาพจากภาพปก seth0s--816508/ Pixabayภาพที่ 1 ElisaRiva/ Pixabayภาพที่ 2 Mateo Avila Chinchilla / unsplashภาพที่ 3 Free-Photo/ Pixabay