ผมมั่นใจว่าถ้าทุกประเทศบนโลกนี้ มีผู้นำเป็นผู้หญิงภายในเวลาสองปีจะได้เห็นการพัฒนาในแทบทุกทาง ทั้งคุณภาพชีวิต และผลิตภาพคำกล่าวของบารัก โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสองสมัยของสหรัฐอเมริกา กล่าวเมื่อปี 2062 ที่ผ่านมาในเวทีงานด้านภาวะผู้นำที่จัดโดย The Growth Faculty ในประเทศสิงคโปร์ ถือเป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจจากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศ ผมคิดว่ามุมมองนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหรอกครับ แต่เกิดขึ้นนานแล้วมาพร้อมกับประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ในฐานะที่ผู้หญิงเป็นผู้นำ และศักยภาพที่ผู้หญิงสามารถทำได้ในโลกสากลเราจะเห็นได้จากปัจจุบันมีผู้นำหญิงอยู่ในโลกหลายคน เช่น ซันนา มารีน นายกหญิงของฟินแลนด์ที่สร้างสถิติเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลก, เทรีซา แมรีเมย์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ใกล้บ้านเราเข้ามาเธอเป็นบุคคลสำคัญในการเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่า ก็คือ อองซาน ซูจี ส่วนไทยเราก็มีนายกหญิงคนแรก ก็คือ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่าสุดของผู้นำหญิงที่ถูกนำมาเป็นประเด็นในช่วงนี้ก็คือ คิมโยจอง ที่อาจจะได้เป็นผู้นำหญิงคนแรกของเกาหลีเหลือซันนา มารีน นายกหญิงของฟินแลนด์เทรีซา แมรีเมย์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษอองซาน ซูจี บุคคลสำคัญในการเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกหญิงคนแรกของไทยในมุมมองของผมนั้นคิดว่าผู้ชายกับผู้หญิงไม่ได้มีความแตกต่างกัน ผู้ชายมีความสามารถอะไร ผู้หญิงก็มีศักยภาพเหล่านั้นเช่นเดียวกัน ดังเช่นบรรดาผู้หญิงที่เป็นผู้นำของประเทศต่าง ๆ ดังที่ได้ยกมาแล้ว หากมองเข้ามาอีกนิดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเรา ก็เคยมีผู้หญิงกล้าที่เป็นผู้นำในการต่อสู้กับเหล่าศรัตรูที่มาเหยียบย่ำประเทศไทย เช่น พระศรีสุริโยทัย, คุณหญิงโม, ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร ซึ่งมีศักยภาพในการทำศึกสงคราม และปกป้องประเทศชาติด้วยความกล้าหาญ ทำให้เราเห็นว่าผู้หญิงก็มีใจสู้แทบจะไม่ต่างจากผู้ชายเลยหากมองมาใกล้มากว่านั้นในสาขาวิชาภาษาไทย คณศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ของตัวผมเองก็มีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงรับบทบาทเป็น “หัวหน้าสาขา” และ “หัวหน้าชั้นปี” อยู่หลายคน จากประสบการณ์ของตัวผมเอง ผมมองว่าผู้หญิงมีทักษะในการบริหารจัดการ และมีความอ่อนโยน ในการทำงาน ช่วยประสานรอยร้าวในทีมได้ หากมีเรื่องที่ต้องทะเลาะจากการพูดคุย ประชุม ปรึกษาหารือ และความคิดเห็นไม่ลงรอย ขณะผู้ชายตามมุมมองของผมแล้ว มีความแข็งแรงทางร่างกาย แต่มีความมั่นใจในตัวเองมาก ไม่ค่อยยอมก้มหัวให้ใคร หากไม่เป็นไปตามความคิดของตนเองก็จะหาวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตัวเองตั้งไว้สุดท้ายผมคิดว่าวิถีการเป็น “ผู้นำ” นั้น ไม่ได้แบ่งว่าใครเป็นชาย เป็นหญิง แล้วจะทำงานได้ดีกว่ากัน แต่อยู่ที่ศาสตร์ และศิลป์ในการบริหารจัดการ รวมถึงมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดบนความเหมาะสม พร้อมด้วยข้อมูลที่รอบด้านนำพาสมาชิกที่เป็นผู้ตามประสบความสำเร็จดังที่คาดหมายเอาไว้ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นผู้นำที่มีศักยภาพแล้วครับภาพถ่ายที่ 1 โดย Mike Brice จาก Pixabay / ภาพที่ 2 โดย sannamarin / ภาพที่ 3 โดย theresamay / ภาพที่ 4 โดย Aung San Suu Kyi / ภาพที่ 5 โดย Yingluck Shinawatra / ภาพที่ 6 โดย Free-Photos จาก Pixabay / ภาพถ่ายที่ 7 โดย Sasin Tipchai จาก Pixabay / ภาพถ่ายที่ 8 โดย peter_pyw จาก Pixabay / ภาพถ่ายหน้าปกโดย Free-Photos จาก Pixabay