ใครที่ชอบทานชีสเป็นชีวิตจิตใจ เวลาไปเดินห้าง และไปที่ตู้แช่อาหารจำพวกชีสชนิดต่างๆ นอกจากจะเคยเห็น เชดดาชีส (Cheddar cheese) พาร์มีซานชีส (Parmesan cheese) หรือ มอสซาเรลลา (Mozzarella cheese) ที่เป็นที่นิยมกันแล้ว ก็คงจะเคยเห็นบลูชีส (blue cheese) กันมาบ้างใช่ไหมคะ ส่วนใหญ่ที่เห็นจะขายเป็นชิ้นสามเหลี่ยมบรรจุแพ็คอย่างดี แต่บลูชีสมักได้รับความนิยมเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น เนื่องจากกลิ่น และรสที่ค่อนข้างแรง คนไทยอย่างเราได้ลองชิมก็ถึงกับไม่ไปต่อกันเลยทีเดียว วันนี้เรามาทำความรู้จักกับบลูชีสกันค่ะ ภาพโดย PDPhotos จาก Pixabay บลูชีส เป็นชีสที่มีแหล่งกำเนิดมาจากทางฝรั่งเศส เกิดขึ้นจากความบังเอิญที่ปล่อยให้ชีสขึ้นรา แต่เมื่อลองชิมดูก็รู้สึกว่าอร่อย และไม่ก่อโรคอันตรายใด ๆ กับมนุษย์ ต่อมาจึงได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งท่านผู้อ่านทราบหรือไม่คะ ว่าที่มาของคำว่าบลูชีส หรือชีสสีฟ้านั้น มีที่มาจากสีของเชื้อรา ที่มีชื่อว่า Penicillium ซึ่งเป็นเชื่อราที่นำมาทำเป็นยาปฏิชีวนะ Penicillin นั่นเอง และลักษณะของเชื้อราชนิดนี้จะมีสีเขียว หรือ ฟ้า ตามสีของของสปอร์จึงทำให้เราเห็นเป็นสีฟ้าแทรกยู่ในก้อนชีสนั่นเองค่ะ ภาพโดย jamstraightuk จาก Pixabay รสชาติของบลูชีสตามที่ผู้เขียนเคยลองชิมไปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ผู้เขียนจำรสชาติได้แม่นเลยทีเดียวค่ะ และบอกกับตัวเองว่า ถึงจะเป็นคนรักชีสขนาดไหน แต่ถ้าให้กินบลูชีสก็คงต้องขอตัว ซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนนะคะ บางคนได้ชิมแล้วชอบเลยก็มี บางคนชอบทานตรงส่วนที่เป็นเชื้อราสีฟ้าเลยด้วยซ้ำค่ะ เมื่อเราทานเข้าไปจะมีกลิ่นฉุนรุนแรงขึ้นจมูก และจะมีรสขม ๆ เค็มนิด ๆ ผู้เขียนอาจจะไม่สามารถอธิบายให้เห็นภาพได้มากนัก แนะนำให้ไปลองชิมกันเองดีกว่าค่ะ รับรองว่าได้อรรถรสกว่ากันเยอะ ภาพโดย Bernadette Wurzinger จาก Pixabay บลูชีสนิยมนำมาทานคู่กับขนมปัง ไวน์ แครกเกอร์ หรือใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารอื่น ๆ ถึงแม้ว่าบลูชีสจะมีกลิ่นที่แรง และเรียกกันว่าชีสเน่า แต่ประโยชน์ของบลูชีสนั้นก็เทียบเท่านม และชีสทั่วไปค่ะ ซึ่งประกอบด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 โปรตีน และสังกะสี ผู้ที่แพ้แลคโตสในนมก็สามารถรับประทานได้ เพราะ บลูชีสมีระดับน้ำตาลแลคโตสน้อยกว่านมปกติ ใครที่อยากลองรสชาติใหม่ ๆ ก็สามารถซื้อมาทานกันได้ มีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปที่ค่ะ ภาพโดย PDPhotos จาก Pixabay ภาพหน้าปกโดย Don Johnoghue จาก Pixabay