ผลงานการกำกับหนังขนาดยาวเรื่องแรกของ อนุชา บุญยวรรธนะ กับหนังฟิล์มนัวร์ โรแมนติก ดราม่า อาชญากรรม เรื่องราวความรัก และความเจ็บปวดของ ตั้ม (อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์) เด็กชายที่ไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัวและเพื่อนๆ ที่โรงเรียนนัก เขามักจะถูกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนรุมซ้อมอยู่เป็นประจำ ในณะที่ในครอบครัวเขาก็กลับเป็นเพียงคนที่ทำอะไรก็ผิดเสมอไม่ว่าจะเป็นข้าวของในบ้านที่หายไป ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเป็นฝีมือของเขา รวมถึงรสนิยมความรักที่ชอบเพศเดียวกันของเขา ทำให้ตั้มเป็นคนไม่มีที่ยืนในสังคม จนกระทั่งเขาหาทางออกด้วยการเริ่มนัดพบกับ ภูมิ (โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์)ชายที่เขารู้จักทางอินเตอร์เน็ตตั้ม และภูมิได้นัดเจอกันครั้งแรกที่สระว่ายน้ำร้างแห่งหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะร่วมรักกันในห้องน้ำท่ามกลางสิ่งสกปรกโสโครกมามาย การได้เจอกับภูมิ เสมือนว่าเขาได้พบกับคนที่คอยรับฟังลาเขาออกจากโลกแห่งความเป็นจริงที่แสนโหดร้าย แม้ว่าความรักของทั้งสองจะเป็นสิ่งที่ดูน่ารังเกียจและแปลกแยกในสังคมภูมิได้ค่อย ๆ พาตั้มเข้าไปรู้จักกับอีกโลกใบหนึ่ง โลกที่อยู่ระหว่างความจริงและความฝัน ที่พาทั้งสองไปพบกับ อันตราย อาชญากรรม และเรื่องราวสยองขวัญ หนังเรื่องนี้นับว่าเป็นการเล่าเรื่องในรูปแบบ กึ่งเรียลลิสต์ และ ฟอร์มอลิสต์ ที่มีรูปแบบการนำเสนอในด้าน ภาพ แสง สี เสียง ไปจนถึงการแสดงที่ยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน มาผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งทางผู้กำกับอย่างคุณอนุชา ก็ได้ชี้แจงไว้แล้วว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยการนำเสนอที่ให้พื้นที่ว่างให้คนดูไปเติมเต็ม ซึ่งหลังจากดูหนังจบเราจะพบว่า อนธการ เต็มไปด้วยนัยยะมากมายที่ผผู้สร้างจงใจแฝงไว้ให้คนดูได้ตีความผ่านรูปแบบการนำเสนอต่างๆ ของหนังเริ่มที่หนังเลือกที่จะเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครที่เป็นเกย์ เพื่อสะท้อนถึงคนที่ดูแปลกประหลาด ไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตัวละครตั้มที่เป็นคนที่อยู่ในจำพวกที่ว่า ‘ไม่มีที่ยืนในสังคม’ ทั้งการไม่เป็นที่ยอมรับในโรงเรียน และครอบครัว ประกอบกับการที่เขามีรสนิยมที่ชอบเพศเดียวกัน กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวไม่ยอมรับในตัวเขามากขึ้น ดังที่ฉากหนึ่งที่ตัวละครภูมิได้พูดอย่างตัดพ้อต่อสังคมที่มองคนอย่างพวกเขาที่ว่า “ถ้ากูเป็นเกย์แล้วกูไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต กูแม่งโคตรเลวเลยใช่เปล่าวะ” ซึ่งภาพรวมแล้วการใส่เรื่องราวรักร่วมเพศในเรื่องนี้ไม่ต่างจากการขยายความการแปลกแยกจากสังคมของตัวละครทั้งสองออกมาให้ชัดเจนขึ้นนอกจากนี้หนังยังได้ใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อย ๆ อันเป็นโมทีฟ(Motif) ที่หนังจงใจใส่มา ซึ่งเราจะพบเห็นอยู่บ่อยครั้งในหนังเรื่องนี้ ยกตัวอย่างเช่นการที่เราจะพบเห็น ตั้มมักจะเดินอยู่บนริมกำแพง มุมตึก หรือแม้แต่ห้องของเขาที่ต้องมาอยู่ชั้นดาดฟ้า ซึ่งในมุมนี้เราสามารถตีความได้ว่า มันเป็นการสะท้อนถึงการไม่มีที่ยืนในสังคมของตัวละคร ที่แม้แต่ภายในบ้านของ ตั้ม เอง เขายังถูกขับไล่จากห้องของตัวเองแล้วมาอยู่ที่ดาดฟ้าแทน หรือในอีกมุมมองที่หนังสะท้อนได้ชัดเจนคือสถานที่ที่ ตั้ม และภูมิจะได้อยู่ด้วยกัน มีความสุขด้วยกันกลับเป็น สระว่ายน้ำร้าง และที่ทิ้งขยะ สถานที่อันเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลทั้งสองที่ข้างต้นเป็นเพียงที่ที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันอีกสิ่งที่เป็นจุดขายจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คืองานกำกับภาพของ กมลพันธ์ งิ้วทอง กับการถ่ายทอดภาพแต่ละฉากออกมาได้อย่างสวยงาม แม้ว่าหลาย ๆ โลเคชั่นในหนังจะดูรกร้าง สกปรก และเป็นสถานที่ที่ไม่น่ารื่นรมย์ แต่ก็สามารถถ่ายทอดสถานที่เหล่านั้นด้วยองค์ประกอบของภาพ มุม และสี ที่ออกมาดูงดงามและเต็มไปด้วยความเป็นศิลป์ โดยเฉพาะการที่หนังจงใจเลือกใช่โทนภาพในโหมดช่วงระหว่าง กลางวันและกลางคืน ที่จะให้โทนสีฟ้าหม่นๆ และสีดำ เกือบตลอดทั้งเรื่องอันเป็นที่มาของ อนธการ ชื่อของหนัง นอกจากนี้โทนสีดังกล่าวยังเป็นการแฝงถึงการเล่าเรื่องของโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนจริงของตัวละคร ที่หนังจงใจที่จะไม่บอกกับคนดูว่าส่วนไหนคือความจริงหรือความฝัน และให้คนดูต้องไปตีความจากเรื่องราวกันเอาเอง ดังนั้นงานภาพของหนังเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่วิจิตรบรรจงอันน่าชื่นชม ยกย่องเป็นอย่างยิ่งในขณะที่งานดนตรีประกอบผลงานของ ชัพวิชญ์ เต็มนิธิกุลที่ดูเข้ากันกับงานภาพและอารมณ์ของหนังอย่างลงตัวด้วยเสียงดนตรีที่ให้อารมณ์ร่องลอย ลึกลับ และวังเวงไปในเวลาเดียวกัน ด้วยความที่ อนธการ มีพลอตเรื่องและคอนเซ็ปต์ ที่เป็นหนังสยองขวัญ ดนตรีของหนังเรื่องนี้จึงออกมาในโทนที่ดูลึกลับ น่าค้นหา ซึ่งพอมาประกอบกับงานภาพแล้วมันยิ่งเพิ่มอรรถรสให้หนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นแต่ด้วยความที่ อนธการจัดอยู่ในหนังรูปแบบฟอมอร์ลิสต์ ที่มีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยการแฝงนัยยะผ่านงานภาพ แสง สี เสียง และการกระทำต่างๆ ของตัวละคร การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้จึงไม่ได้ไปในรูปแบบสูตรสำเร็จ เราจะพบว่าหนังมีการเล่าเรื่องที่เนิบช้า ค่อยเป็นค่อยไป และค่อนข้างเน้นดารเล่าเรื่องผ่านพฤติกรรมของตัวละคร ฉะนั้นบทพูดของหนังเรื่องนึ้จึงมีค่อนข้างน้อย แต่ต้องชื่นชมที่ทีมเขียนบทสามารถใช้สคริปต์ที่แสนจะมินิมอลนี้ออกมาได้อย่างเฉียบ แยบยลคมคาย เพราะทุกคำพูดของตัวละครในหนังสามารถสะท้อนถึงสิ่งต่างๆ ที่ตัวละครต้องพบเจอ โดยที่หนังไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดออกมาเป็นภาพแต่อย่างใด คนดูสามารถรับรู้ถึงมิติของตัวละคร ความรู้สึกนึกคิด และการกระทำต่างๆ อันนำมาสู่จุดพลิกผันของเรื่องบทพูดของตัวละครที่เป็นสิ่งที่น่าพูดถึงในหนังเรื่องนี้คือบทพูดของ ตั้ม ตัวละครที่เป็นทั้งตัวเอก ลุดเริ่มต้นของหนังทั้งเรื่อง ตั้ม ได้บอกถึงตัวตนของเขาผ่านคูพูดของเขาที่พาคนดูได้ไปทำความรู้จักชีวิตของเขาผ่านบทหนังโดยที่คนดูแทบไม่รู้ตัว เราสามารถรับรู้ได้ว่า ที่มาที่ไปของบาดแผลที่ใบหน้าของ ตั้ม อันมาจากเพื่อนๆ ของเขานั้น เกิดจากการที่ ตั้ม ได้ไปยืมเงินเพื่อนมาแล้วไม่คืน หริอการที่ตั้ม มักถูกใส่ร้าบจากครอบครัว(โดยเฉพาะจากพี่ชาย) ว่าเขานั้นได้ขโมยข้าวของในบ้านไปจำนำ หรือแม้แต่คำพูดที่เขาเปิดใจกับภูมิ ในตอนต้นเรื่องว่า เขาเกลียดคนที่ร้องให้ เพราะเหมือนกับว่าคนที่ร้องให้คือคนที่ไม่มีวันผิด ซึ่งคำพูดเล็กนี้ เป็นส่วนที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลถึงฉากจบอันสุดแสนสะเทือนใจของหนังเรื่องนี้ แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่คนดู (น่าจะ)รับรู้ถึงที่มาที่ไปของตัวละคร ตั้ม แต่ในขณะเดียวกันตัวละครเดียวกันนี้ หนังก็ได้สร้างให้เขาเป็นคนที่มีอาการ Pathological Liar หรืออาการที่ชอบพูดโกหก ซึ่งในจุดนี้หนังได้พยายามถ่ายทอดให้เห็นถึงด้านมืดอีกด้านอันน่ากลัวของตัวละคร ฉากที่หนังได้ถ่ายทอดให้เห็นอาการชอบพูดโกหกของ ตั้ม ได้ชัดเจนที่สุดคือฉากที่ตั้มถูกพี่ชายและแม่สอบสวนเรื่องปืนของพ่อที่หายไป คำตอบของ ตั้มคือเขาไม่รู้เรื่องใดๆ และปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ฉากถัดมากลับกลายเป็นฉากที่ภูมิกำลังเอาปืนที่ ตั้ม ขโมยมา ยิงนกอย่างสบายใจ ก่อนที่ทั้งสองจะนำปืนไปขาย ในส่วนนี้หนังได้พยายามสื่อให้เห็นถึงความเคลือบแคลง ไม่น่าไว้ใจของตัวละคร และปล่อยให้คนดูใช้ดุลยพินิจ ในการที่จะตัดสินว่าคำพูดไหนของตัวละครที่เป็นความจริง และส่วนไหนที่เป็นเรื่องโกหก เช่นเดียวกับการที่หนังปล่อยให้คนดูไม่สามารถแยกแยะได้ว่าส่วนไหนเป็นความจริง ส่วนไหนเป็นความฝัน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งที่สำคัญอีกส่วนที่เป็นจุดดึงดูดของหนังฟิล์มนัวร์เรื่องนี้คือการสร้างสรรค์เรื่องสยองขวัญลงไปในหนัง อันมีจุดที่น่าสนใจคือ เรื่องราวของผีบังตา และ โมทีฟรอยตะใคร่น้ำข้างสระน้ำ ที่มีรูปร่างคล้ายคน ซึ่งข้อความเชิงสัญลักษณ์ทั้งสองอย่างที่หนังใส่เข้ามานั้นทางผู้กำกับก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงถึงการสื่อความหมายไปในทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นส่วนที่ให้คนดูได้ตีความมันตามความรู้สึกของแต่ละคน ก่อนอื่นต้องพูดถึงเรื่องของผีบังตา ที่เป็นเรื่องราวความเชื่อที่ ภูมิได้เล่าให้ตั้มฟัง ในแง่ของ ผีบังตา นั้นเป็นทั้งการตีความถึงการที่ตัวละครถูกด้านมืดในจิตใจครอบงำ และถูกบดบังด้วยความชั่วร้าย จนทำให้ ตั้มตัดสินใจที่จะลงมือฆ่าล้างครอบครัวตัวเอง หรือการตีความในแง่ที่ว่า บางทีการไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมของ ตั้ม นั้นอาจจะเป็นเพียงความคิดของ ตั้มเพียงคนเดียว เป็นความคิดมุมมองในสังคมด้านลบ ที่หากจะเปรียบในที่นี้ก็ไม่ต่างจากผี ที่คอยบังตา ตั้มไม่ให้มองเห็นคุณค่าของตัวเอง และตัดสินตัวเองในแง่ลบไปในที่สุดส่วน รอยตะใคร่น้ำรูปร่างคล้ายคนนั้น ก็สามารถตีความได้ทั้ง ร่องรอยความผิดบาปของ ตั้มที่เราจะพบว่าตั้มได้พยายามลบรอยตะใคร่นี้ แต่สุดท้ายก็ลบไม่สำเร็จ การกระทำนี้ไม่ต่างจากการพยายามลบความผิด หรือความเลวร้ายของตนเอง แต่สุดท้ายแล้วความผิดนั้นก็หาได้หายไป แต่มันยังคงเป็นตามหลอกหลอน ตั้มซึ่งในที่นี้คือการปรากฏเป็นรอยตะใคร่น้ำนั่นเอง ด้านความเชื่อเรื่องผีบังตา ที่ถูกสอดแทรกในหนัง กับประโยคที่ ภูมิพูดว่า”ผีบังตา คือการที่ผีจะซ่อนคนๆ นั้นไว้ ไม่ให้ใครเห็น แล้วพาคนๆ นั้นไปอยู่ด้วย” ในแง่นี้เราก็อาจสามารถตีความได้ว่า แท้จริงแล้ว ภูมิ อาจจะเป็นเสมือนผี ที่มาบังตา ตั้ม และพาเขาไปอยู่ด้วยก็เป็นได้ เพราะในขณะที่หนังได้บิดบังตัวตนที่แท้จริงของ ภูมิไว้จนเราแทบที่จะไม่รู้จักปูมหลังใดๆ ของตัวละครนี้ ในขณะเดียวกัน ภูมิก็อาจเป็นเสมือนบุคคลในจินตนาการที่ ตั้ม สร้างขึ้นเพื่อหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ก่อนที่ ภูมิ จะชักชวนและดึงด้านมืดในจิตใจของเขาออกมา พาไปสู่เหตุสลดใจในตอนท้ายของหนัง และในฉากสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วย แม้ว่าในมุมมองการเล่าผ่านมุมมองของ ตั้ม ที่มันดู แฮ้ปปี้เอนด์ดิ้ง แต่หากมองในอีกด้านหนึ่ง ‘ผี’(หรือตัวละครภูมิ) ก็ได้บังตาและพา ตั้มไปอยู่ด้วยกันตลอดกาล ก็เป็นได้ อีกส่วนหนึ่งที่น่ายกย่องเชิดชูของ อนธการคือการแสดงของนักแสดงนำที่ตลอดทั้งเรื่อง เราจะพบว่ามีตัวละครที่มีบทบาท และมีผลต่อเนื้อเรื่องจริง ๆ อยู่เพียงสามคนคือ ตั้ม ภูมิ และคุณแม่ของตั้ม (รับบทโดย ดวงใจ หิรัญศรี)ที่เป็นสามตัวละครที่คอยแบกรับหนังทั้งเรื่องให้ไปในทิศทางที่ผู้กำกับต้องการ ในด้านการแสดงของ โอบนิธิและ อรรถพันธ์ ที่มีเคมีการแสดงที่เข้ากัน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของนัดแสดงทั้งสอง แต่ทั้งคู่ก็สามารถถ่ายทอดฉากเลิฟซีน ออกมาได้อย่างอบอุ่น โรแมนติก แม้ว่าเลิฟซีนระหว่างชายกับชายของหนังเรื่องนี้จะไม่ได้ถึงพริกถึงขิง หรือหวือหวารุนแรงเมื่อเทียบกับหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ แต่หนังก็สามารถถ่ายทอดและตีความความรักของคนเพศเดียวกันออกมาอย่างมีพลังอีกการแสดงที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้คือบทแม่ของตั้ม ที่แม้ว่าโดยรวมทั้งเรื่องตัวละครนี้จะมีบทบาทไม่ถึงห้าฉากด้วยซ้ำ แต่บทบาทของตัวละครตัวนี้ก็ทรงอิทธิพลมากๆ ต่อหนังเรื่องนี้ ด้วยการแสดงของคุณดวงใจ ที่มาพร้อมกับใบหน้าที่นิ่ง สุขุม แต่ในหนังเธอเป็นเพียงคนเดียวที่มีอำนาจอยู่เหนือ ตั้ม ดังนั้นคำพูดและการกระทำของแม่ สามารถเป็นทั้งคนที่คอยเข้าใจ และทำร้ายตั้มได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งการแสดงของคุณดวงใจ ที่อยากเรียกว่าน้อยแต่มากนี้ ก็สามารถทำให้คนดูรับรู้ความรู้สึกของตั้ม ไปโดยปริยาย สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นใน อนธการเป็นสิ่งที่น้อยครั้งที่เราจะสามารถพบเห็นได้ในหนังไทย ที่หนังจะยินยอมให้เสรีต่อคนดูที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ จินตการหรือเพ้อฝัน และสามารถตีความตามเข้าใจของตนเองได้อย่างอิสระ และสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นหนังที่มีพร้อมในด้านการสร้างสรรค์ความเป็นศิลป์ในด้านภาพยนตร์ออกมาได้ทุกสัดส่วนทั้ง ภาพ แสง สี เสียง บทหนัง การแสดง ที่จะเป็นหนังที่ถูกยกย่องพูดถึงไปอีกนานแสนน สำหรับใครที่สนใจอยากชมภาพยนตร์ อนธการ-Blue Hour แบบถูกลิขสิทธิ์ สามารถรับชมได้ที่ https://movie.trueid.net/movie/lJyP34oQLXq ขอขอบคุณรูปภาพจาก https://movie.trueid.net/