ช่วงนี้ อาจจะได้ยินคำว่า สัญญาใจ กับ สัญญาจ้าง กันบ่อยหน่อย เมื่อมีประเด็นข่าวระหว่าง "นักร้อง" กับ "ค่ายเพลง" ที่ตกลงกันไม่ลงตัวเมื่อเพลงดังขึ้นมา ฝ่ายนักร้องพูดถึง "สัญญาใจ" ว่าค่ายเพลงบอกจะแบ่งผลประโยชน์ให้ ฝ่ายค่ายเพลงพูดถึง "สัญญาจ้าง" ว่าไม่ได้เซ็นสัญญาตกลงกันจึงจ่ายให้ไม่ได้ เป็นการพูดคนละมุมมอง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็ต้องมีการแก้ไขกันต่อไปในเรื่องของ "กฏหมาย" ซึ่งแน่นอนว่าหากเกี่ยวข้องกับ "กฏหมาย" ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ประเด็นที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือเรื่อง "เซ็นสัญญางาน" เป็นสิ่งที่ทุกคนที่จะเข้าไปทำงานที่ไหนสักแห่ง ต้องศึกษาให้ดีเพื่อจะได้รู้ถึงผลดี-ผลเสียที่จะเกิดขึ้น หลังจาก "เซ็นสัญญาไปแล้ว"สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้คือเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ไปทั่วโลก หลังจาก ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด ส่งผลให้บริษัทมากมายปิดตัวลง หลายบริษัทประคับประคองให้อยู่ต่อไปได้ด้วยการลดต้นทุนการผลิต ลดจำนวนพนักงาน และเรื่องของ "กฏหมายเลิกจ้าง" ก็เกิดขึ้น ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า "ก่อนเซ็นสัญญา" เพื่อจะทำงานใด ๆ เราจะต้องตรวจสอบเอกสารก่อนที่จะเซ็น มีข้อสัญญาประเด็นไหนบ้างที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ฯลฯอ่านสัญญา มีกี่หน้าก็ต้องอ่าน !หลายคนอาจมองว่ากว่าที่จะสมัครเข้าทำงานที่ใดที่หนึ่งได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีความมั่นคง กว่าจะผ่านขั้นตอนการสอบข้อเขียน กว่าจะผ่านการสอบสัมภาษณ์ เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะบางแห่งต้องต่อสู้กับผู้ที่เข้ามาสมัครหลายร้อยคนกว่าจะได้งานนี้มา ดังนั้นเมื่อ HR (ฝ่ายบุคคล) ส่งสัญญามาให้เซ็นเพื่อจะได้เริ่มทำงานสักทีหลังจากที่สมัครงานมาหลายที่แล้ว บางคนก็เซ็นทันที โดยไม่อ่าน หรือบางครั้งก็แค่อ่านผ่าน ๆ พอเป็นพิธี แต่ไม่ได้เข้าใจเนื้อหาของสัญญาจริง ๆ มารู้อีกทีก็พบว่าตัวเองพลาดไปแล้ว ก็เมื่อถึงวันที่ถูกปลดออกจากงานกลางคัน ! เราควรอ่านเรื่อง สัญญาเลิกจ้างงาน ให้เข้าใจก่อนที่จะเริ่มต้นเซ็นสัญญางาน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเราเองโดยตรง แต่สิ่งแรกสุดก่อนหน้านี้ ต้องดูว่าหนังสือสัญญาที่เอามาให้เราเซ็นนั้นเป็นภาษาอะไร บางแห่งใช้ภาษาไทย บางแห่งใช้ภาษาอังกฤษ แต่โดยกฏหมายนั้น สัญญาต้องเซ็นด้วยภาษาที่เราเข้าใจ หากถูกยื่นสัญญามาด้วยภาษาอังกฤษแล้วเราอ่านไม่เข้าใจ เราสามารถขอสัญญาที่เป็นภาษาไทยได้ จาก การอ่าน ทำให้เราได้รู้ว่า เมื่อเรา ลาออกจากงาน หรือ ถูกให้ออกจากงาน เราจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง เราจะเรียกร้องอะไรได้บ้าง จะได้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากเราทำงานไปแล้ว เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน แล้วสรุปว่าเราถูกปลดกลางคัน ถ้าสัญญาที่เราไม่ได้อ่าน เราเซ็นไปตั้งแต่ต้นว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราต้องออกจากงาน เราจะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ถึงเวลาจะต้องออกจากงานจริง ๆ เราก็เรียกร้องอะไรไม่ได้ เราต้องเสียผลประโยชน์อย่างน่าเสียดาย แต่ถ้าอ่านเสียก่อน อย่างน้อยที่สุดก่อนที่จะทำอะไร เรายังได้ใคร่ครวญก่อนว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาเราจะได้อะไรบ้างที่ต้องกลายเป็นคนตกงาน เพราะฉะนั้นถ้าต้องเซ็นสัญญา ก็อ่านสัญญานั้นก่อน อะไรไม่เข้าใจก็ถาม HR ถ้าเจอ HR ที่ดูจะหงุดหงิดง่ายหน่อย ตัวเราเองนั่นแหละที่จะต้องใจเย็น ถามด้วยความสุภาพ และตัดสินใจทุกอย่างด้วยการใช้เหตุผลในการพิจารณา ไม่ใช้อารมณ์นำในการที่จะเซ็นสัญญาอะไรทุกอย่าง นอกจากเรื่องการลาออกจากงาน / การถูกให้ออกจากงาน ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่เราไม่คิดว่าจะทำในวันที่สมัครงาน แต่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องรู้ล่วงหน้าไว้ก่อน และสิ่งที่เราจะต้องรู้ไว้ก่อนสมัครงาน ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น - สัญญาจ้างเป็นเดือน หรือ ปี- หลักเกณฑ์สำหรับการขึ้นเงินเดือน- ค่า โอที/โบนัส มีไหม- หลังทดลองงาน เงินเดือนขึ้นไหม- วันลา ลาหยุด ลาป่วย ลาคลอด ฯลฯ ได้กี่วัน - เงื่อนไขประกันสังคมเป็นอย่างไร- ลาออกต้องแจ้งก่อนกี่วันฯลฯ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายเรื่อง เช่น มีค่าภาษาเพิ่มไหม มีสวัสดิการอะไรบ้าง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัทที่เราจะต้องปฏิบัติตามมีอะไรบ้าง อะไรที่เรียกว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่บริษัทสามารถเลิกจ้างเราได้ ฯลฯทั้งตัวเราเอง และ บริษัทหน่วยงานต่าง ๆ ที่เราจะต้องเข้าไปทำงาน ต่างก็ "เลือก" ซึ่งกันและกัน ดังนั้นการเริ่มต้นทำงานหลังจากที่เข้าใจ กฏ กติกา ของกันและกันแล้ว การทำงานก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น เชื่อเถอะว่า ... ปัญหาต่าง ๆ จะเกิดขึ้นน้อยลง ถ้าเราเริ่มต้นที่จะอ่าน "สัญญาจ้างงาน" ให้เข้าใจ ก่อนที่จะ "เซ็นสัญญา"... ทำงานอย่างมีความสุขนะคะทุกคน... ขอบคุณภาพประกอบภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 ภาพที่ 6