พาผู้อ่านย้อนกลับไปยังศตวรรษที่ 15 โลกแห่งการสำรวจผืนทวีปแห่งใหม่กำลังเฟื่องฟู ชาติมหาอำนาจยุโรปต่างแข่งขันกันต่อเรือแล้วออกเดินทางข้ามน้ำข้ามสมุทรมายังทวีปเอเชีย เพื่อจะครอบครองดินแดนและช่วงชิงทรัพยากร ตีตราตัวเองว่าเป็นเจ้าแห่งลัทธิอาณานิคมทั้งปวง ไม่เว้นแม้กระทั่งราชสำนักสเปนภายใต้การปกครองของพระราชาเฟอร์ดินานและพระราชินีอิซซาเบลลา (King Ferdinand II of Aragon and Queen Isabella I of Castile) ที่เรียกว่าเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใจป้ำสุด ๆ อัดฉีดทรัพย์สินเงินทองลงทุนไปกับกิจการเดินเรืออย่างเต็มกำลัง และเหตุการณ์ครั้งนั้นเอง ถือเป็นการเปิดตัวนักเดินเรือผู้มากความสามารถอย่าง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) อย่างเป็นทางการโคลัมบัสผูกพันกับนักเรียนไทยจากหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เพราะไม่ว่าจะเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ แต่ประวัติศาสตร์สากลเป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องศึกษาเหมือนกัน โคลัมบัสที่เราคุ้นเคยคือขุนนางชาวเจนัวที่ราชสำนักสเปนให้ความไว้วางใจ แต่งตั้งให้เป็นผู้นำในการออกเดินเรือไปพิชิตดินแดนแห่งทวีปเอเชีย แต่ด้วยความติสท์แตกของโคลัมบัสที่แหกคอกไม่ออกเดินทางไปตามเส้นทางปกติเหมือนชาวบ้านชาวช่อง ชาติอื่นไปทางซ้ายแต่โคลัมบัสจะไปทางขวา แต่ใครจะไปเชื่อว่าความบ้าระห่ำต้องการแหกกฎของเขาในครั้งนั้น จะทำให้เขาได้พบกับผืนทวีปแห่งใหม่คือ ทวีปอเมริกา (The Americas) โคลัมบัสในตำราเรียนจึงมีภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างป๊อบปูลาร์ เป็นขุนนางคนเก่งที่ค้นพบดินแดนและวางรากฐานของมนุษยชาติในเวลาต่อมาแต่ครั้งนี้เราจะเปิดเรื่องลับของโคลัมบัสกันบ้าง ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย การเรียนประวัติศาสตร์ทำให้ผู้เขียนได้พบกับหลักฐานจากทั่วโลก เรื่องราวเกี่ยวกับโคลัมบัสก็เช่นเดียวกัน ด้านมืดของเขาไม่ค่อยถูกเปิดเผยมากนัก จนกระทั่งระยะหลังที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการศึกษาประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญฝั่งตะวันตกก็ได้ออกมาแฉความโหดเหี้ยมของโคลัมบัสกันอย่างคึกคัก เรียกว่าแม้จะตายจากโลกไปนานหลายปี แต่เรื่องราวลับ ๆ ก็ถูกขุดขึ้นมาเผยแพร่ตามเว็บไซต์และสื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดัง เกริ่นมาเสียตั้งนานเราไปหาคำตอบด้วยกันดีกว่าว่า ตำราของไทยกับทางฝั่งตะวันตกจะกล่าวถึงโคลัมบัสเอาไว้อย่างไรบ้างหลักฐานที่ทำให้เรื่องนี้แดงขึ้นมาคือ บันทึกของผู้ร่วมเดินทางของโคลัมบัสชื่อ มิเคล เดอ คูเอโน (Michele de Cueno) เมื่อโคลัมบัสค้นพบหมู่เกาะน้อยใหญ่แถบทะเลแคริบเบียน เขาได้ตอบสนองต่อการต้อนรับของชาวพื้นเมืองด้วยการควบคุมให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ความตาไวของโคลัมบัสที่เห็นว่าชาวพื้นเมืองสวมเครื่องประดับทองคำแวววาววิบวับ เขาจึงสั่งให้ชาวพื้นเมืองผู้ชายไปขุดทองคำมาให้ได้ตามจำนวนที่กำหนด คนที่หาไม่ได้ไม่ครบจะต้องถูกตัดนิ้วตัดมือทิ้ง ซึ่งเรื่องนี้ไปสอดคล้องกับบันทึกของชาวอินเดียนเผ่าอิทาโนในแถบประเทศคิวบา ที่เล่าว่าบรรพบุรุษของพวกเขาต้องหลบหนีคนของโคลัมบัสขึ้นไปอยู่ตามป่าเขาเพื่อไม่ให้ถูกตัดมือ คนที่ถูกตัดมือก็ล้มหายตายจากเพราะติดเชื้อไปจำนวนมาก ส่วนคนที่เหลือถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานในไร่ฝ้ายอีกหลายชีวิตเท่านั้นยังไม่พอ โคลัมบัสยังจับตัวผู้หญิงชาวพื้นเมืองมาบำบัดความต้องการทางเพศ แจกจ่ายหญิงสาวให้เป็นของขวัญกับคนติดตามที่ทำงานได้น่าพอใจ นอกจากนั้นยังจับเด็กผู้หญิงมาทำการซื้อขาย และจะเฆี่ยนตีจนตายหากเด็กหญิงเหล่านั้นไม่ได้รับความร่วมมือ โคลัมบัสเป็นผู้นำการค้าทาสโดยจับชาวพื้นเมืองใส่เรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปขาย ตามบันทึกเล่าว่าทาสที่อ่อนแอล้มป่วยจะถูกคนของโคลัมบัสโยนลงทะเลอย่างไม่ใยดี แต่ขอบอกไว้ก่อนว่านี่เป็นเพียงน้ำจิ้ม วีรกรรมความป่าเถื่อนของโคลัมบัสที่นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันขุดคุ้ยมาเปิดเผยยังมีอีกมากมาย ทั้งการสังหารหมู่ชาวพื้นเมืองบนเกาะบาฮามาส หรือแม้กระทั่งการปราบกบฏด้วยการตัดชิ้นส่วนมนุษย์มาขู่ไม่ให้ชาวบ้านลุกฮือแต่ฟ้ามีตาพระราชาย่อมมองเห็น เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้โคลัมบัสต้องสูญสิ้นอำนาจโดยแท้จริง คือการบุกรุกพื้นที่ของชาวพื้นเมือง แล้วทำเป็นอาณานิคมของตนเอง โดยการเกณฑ์ชาวสเปนมาใช้แรงงานผ่านระบอบฟิวดัลอันโหดเหี้ยม นั่นคือการให้แรงงานชาวสเปนทำงานอย่างไม่หยุดพักจนตาย พอคนนี้ตายก็ไปหาคนใหม่มาแทน เรื่องนี้ลือหึ่งไปถึงหูพระราชาเฟอร์ดินานและพระราชินีอิซซาเบลลา โคลัมบัสถูกปลดตำแหน่ง สั่งขังและถูกทรมานในคุกอยู่นานกว่าหกสัปดาห์ เรียกว่าหมดสิ้นอำนาจการปกครองดินแดนและเสียชีวิตในเวลาต่อมาเอาเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไก่กา แต่เป็นเรื่องร้อนที่ทำให้ประวัติศาสตร์ชาติเปลี่ยนแปลงไปได้เลย สหรัฐอเมริกาใช้บทเรียนจากเรื่องนี้ ถอด วันโคลัมบัส (Columbus's Day) ออกจากปฏิทินและความทรงจำ โดยเปลี่ยนให้วันที่ 12 ตุลาคมของทุกปีกลายเป็น วันชนพื้นเมือง (Indigenous People's Day) เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนใจถึงความป่าเถื่อนของโคลัมบัส ระลึกถึงการสูญเสียของบรรพบุรุษชาวพื้นเมืองที่ถูกเข่นฆ่า จากเรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่า ประวัติศาสตร์มีหลายแง่มุมและสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เรื่องราวที่คนซีกโลกหนึ่งรับรู้มาตลอดชีวิต อาจไม่เหมือนกับความจริงที่คนอีกซีกโลกหนึ่งเพิ่งค้นพบมาไม่นานก็เป็นได้เครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Nosolomarcas : Pixabay- ภาพประกอบที่ 1 โดย DarkWorkX : Pixabay- ภาพประกอบที่ 2 โดย Bmoreprep : Pixabay- ภาพประกอบที่ 3 โดย GDJ : Pixabay- ภาพประกอบที่ 4 โดย DarkWorkX : Pixabay- ภาพประกอบที่ 5 โดย AndPond : Pixabayข้อมูลอ้างอิง- หนังสือเรื่อง American Holocaust : The Conquest of the New World - David Stannard