เที่ยวเทรนด์ใหม่ไม่เอาถ่าน ณ เมืองน่านเนินเนิบ เมืองที่ไปเยือนกี่ครั้งก็เติมเต็มความสุขได้ไม่รู้จบ ครั้งนี้ “นายรอบรู้” จะพาไปเที่ยวแบบคนไม่เอาถ่าน หรือเที่ยวแบบ Low Carbon Tourism ภายใต้แคมเปญ “แอ่วม่วนใจ๋ ไม่เอาถ่าน” ที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ได้จัดขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมเรียนรู้และมีส่วนช่วยในการลดโลกร้อน >>>เที่ยวแบบ “คนไม่เอาถ่าน” เป็นอย่างไร ?? ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับ “คนไม่เอาถ่าน” กันก่อน ซึ่งถ่านในที่นี้ คือ คาร์บอน(ไดออกไซด์) คือตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อน เที่ยวแบบคนไม่เอาถ่านก็คือ เที่ยวแบบคนที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยที่สุด โดยการเลือกปั่นจักรยนานหรือนั่งสามล้อถีบแอ่วเมืองน่าน แทนการใช้รถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์ ถ้าจะให้ครบสูตรก็ต้องชิมอาหารเมนู Low Carbon อย่างพืชผักและวัตถุดิบพื้นถิ่นเมืองน่านที่ทางร้านปลูกเอง หรือรับซื้อจากชาวบ้านในละแวก ไม่สิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงในการขนส่งจากที่ไกลๆ และปลอดภัยไร้กังวลเรื่องสารเคมีอีกด้วย และเลือกพักโรงแรม Low Carbon ที่ใส่ใจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 2 คืน เพราะทางโรงแรมเลือกทำความสะอาดแบบระบบ Dry Clean คือไม่ใช้น้ำ โดยจะงดทำความสะอาดห้องน้ำ งดบริการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดเท้า บริการอาหารเช้าเมนูท้องถิ่น บางที่ผลิตน้ำยาทำความสะอาด และสบู่ แชมพูเอง โดยจะนำต้นทุนที่ประหยัดได้นี้มาเป็นส่วนลดให้นักท่องเที่ยวที่เลือกเข้าพักแบบ Low Carbon >>>ทำ “ตุงก้าคิง” บูชาพระ พร้อมฟังความหลังผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิด ทริปนี้เริ่มต้นพร้อมความเป็นสิริมงคลด้วยพิธีสืบชะตา สะเดาะเคราะห์แบบล้านนา ด้วยการทำ “ตุงค่าคิง” อ่านว่า ตุงก้าคิง ที่วัดพระเกิด ต. ในเวียง ซึ่งตุงค่าคิงเป็นภาษาไทใหญ่ “ค่า” แปลว่า “เท่า” “คิง” แปลว่า “คน” ตุงค่าคิง จึงแปลว่า ตุงเท่าคน โดยพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยหรือกลุ่มผู้สูงอายุจะเตรียมตุงค่าคิงที่มีความยาวเท่าความสูงของเจ้าของตุงไว้ให้ โดยมีปีนักษัตร คิ้ว ตา จมูก ปาก ไว้ให้เจ้าของตุงลงมือติดด้วยตัวเอง และร่วมพิธีสืบชะตาสะเดาะเคราะห์เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากเสร็จพิธีก็ฟังพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยเล่าความหลังผ่านพิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิด ที่ใช้กุฏิครูบาอินผ่อง วิสารโท อดีตเจ้าอาวาสวัดสร้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจัดแสดงเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีชุมชน เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหากิน ส่วนชั้นบนแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือห้องพระพุทธรูป จัดแสดงพระพุทธรูปไม้ ที่น่าสนใจคือพระพุทธรูปไม้ประทับยืนปางเปิดโลก อายุไม่น้อยกว่า 191 ปี ส่วนที่ 2 เป็นห้องโถงกลาง จัดแสดงเครื่องสืบชะตาล้านนา เครื่องสูงพุทธบูชา มีหีบธรรมเก็บคัมภีร์ใบลาน ส่วนที่ 3 ห้องในสุดจัดแสดงคัมภีร์ใบลานและปั๊บสาที่บันทึกวิชาความรู้หลากสาขา จำนวน 2,345 ผูก >>>ชมวิถีผ้าทอและบ้านเก่าชนชั้นสูง ณ โฮงเจ้าฟองคำ จากวัดพระเกิด เดินไม่กี่สิบก้าว ปั่นจักรยานไม่ถึง 3 นาที ก็ถึงโฮงเจ้าฟองคำ เป็นบ้านเก่าของเจ้าฟองคำผู้เป็นลูกหลานของเจ้าผู้ครองนครน่าน สร้างเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว สถาปัตยกรรมเป็นเรือนไม้แบบล้านนาที่ยังสภาพสมบูรณ์ เป็นเรือนใต้ถุนสูง หลังคามุงด้วยดินขอ ตัวเรือนสร้างด้วยไม้สัก เข้าไม้แบบโบราณโดยไม่ใช้ตะปู เมื่อขึ้นมาบนบ้านจะพบ “จาน” หรือ ชานบ้าน ถัดจากชานเป็นพื้นที่ยกระดับเรียกว่า “เติ๋น” ใช้เป็นพื้นที่รับแขกเพราะโปร่งโล่งเย็นสบาย ตัวเรือนแบ่งเป็นส่วนต่างๆ มีทั้งเรือนฝั่งขวาเดิมเป็นยุ้งข้าว ตอนนี้ปรับปรุงเป็นห้องรับแขกจัดแสดงเครื่องใช้ยุคก่อน เรือนฝั่งซ้ายเป็นห้องโถงพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับแขกพิเศษและประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในตัวเรือนมีที่ว่างกลางบ้านและห้องนอนจัดวางข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณ ส่วนครัวหรือครัวไฟ เป็นห้องขนาดเล็กแยกจากตัวบ้านไปทางด้านหลัง เพื่อลดอันตรายจากไฟ และส่วนใต้ถุนเรือนเป็นที่ทอผ้าและทำกิจกรรมต่างๆ ปัจจุบันเป็นที่สาธิตการทอผ้าและย้อมผ้า และยังเป็นที่จำหน่ายผ้าทอ ชุดล้านนา และของที่ระลึกอีกด้วย >>>ชม ช็อป เครื่องเงินน่านที่บ้านสล่าบุญช่วย เครื่องเงินน่านถือเป็นของฝากขึ้นชื่อ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการสร้างเมืองน่าน ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งปัจจุบันสล่าบุญช่วย หิรัญวิทย์ ยังคงสืบสานและอนุรักษ์ภูมิปัญญาการทำเครื่องเงินแบบโบราณ โดยยังคงใช้วิธีการหลอมแบบโบราณ คือใช้สูบมือและใช้ถ่านจากไม้พะยอม ซึ่งเป็นถ่านไม้ที่ติดไฟแล้วจะดับเองได้ถ้าไม่สูบลมเป่า สล่าบุญช่วยยังคงสาธิตการทำสลุงเงินหรือขันเงิน ตั้งแต่การขึ้นรูป ตอกลวดลาย อย่างลายดอกกระถิน ลายเทพพนม ลาย 12 ราศี เป็นต้น โดยใช้เวลาทำขันเงิน 1 ใบ ประมาณ 7-8 วัน ซึ่งต้องอาศัยความประณีตในชิ้นงาน ปัจจุบันที่ร้านบุญช่วยเครื่องเงินโบราณ ยังมีการสาธิตการทำสลุงเงิน และมีของที่ระลึกจากเครื่องเงินจำหน่าย >>>ขึ้นสามล้อ ต่อรถราง ปั่นจักรยาน ชมวัดงามและตึกเก่าในเมืองน่าน เสน่ห์ของเมืองน่านที่สร้างความประทับใจให้ผู้มาเยือนมิรู้ลืม คือความเป็นเมืองเก่าที่มีชีวิต เมืองเล็กๆ ที่รุ่มรวยศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์เรื่องราว ที่ถ่ายทอดผ่านโบราณสถาน โบราณวัตถุ ขนบประเพณีและวิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบัน การมาเที่ยวในมืองน่านขอแนะนำให้เลือกใช้บริการสามล้อ รถราง หรือจะเลือกปั่นจักรยานก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังได้เที่ยวแบบละเมียดละไม ได้ใช้ชีวิตแบบเนิบช้าซึมซับความงามได้อย่างเต็มที่ เพราะวัดในเมืองน่านจะอยู่ไม่ไกลกันนัก ยิ่งบริเวณข่วงเมืองหรือลานใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของวัดภูมินทร์แลนด์มาร์คของเมืองน่าน มีภาพจิตรกรรม “ปู่ม่านย่าม่าน” ที่งดงาม ภาพหญิงงามที่ถูกขนานนามว่า “โมนาลิซ่าเมืองไทย” พระประธานก็งดงามและโดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์หันพระปฤษฎางค์(หลัง) ชนกัน และ มีมุมอันซีนมากมายที่ไม่ควรไม่พลาดชม เยื้องๆ กันเป็นวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร โดดเด่นด้วยเจดีย์ช้างล้อมศิลปะสุโขทัยที่หลงเหลือเพียงแห่งเดียวใน จ. น่าน เสริมสิริมงคลด้วยการไหว้พระทองคำปางลีลา และชมหอไตรปิฎกที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในไทย ฝั่งตรงข้ามเจดีย์คือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์เมือง และชมวิหารที่เล็กที่สุดในประเทศ และซุ้มต้นลีลาวดีข้างกำแพงก็ถือเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมอีกแห่งในเมืองน่าน สักการะเสาหลักเมือง ชมงานปูนปั้นอันวิจิตรขาวพราวตาประเพณีสิบสองเดือนตามวิถีชีวิตคนน่านที่วัดมิ่งเมือง ถ้ายังไม่จุใจไปชมลายประดับเพดานศิลปะพม่า และร่วมพิธีสืบชะตาได้ที่วัดกู่คำ ด้านหลังมีพิพิธภัณฑ์วัดกู่คำที่เก็บรวบรวมเสื้อผ้าอาภรณ์ และข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณให้ได้ชม หากอยากชมอาคารเก่าแบบตะวันตกอายุเกือบ 100 ปี ให้ไปที่โรงเรียนน่านคริสเตียน บริเวณ ถ. รังษีเกษม จะพบ “ตึกแดง”หรือตึกลินกัล์น อาคารเรียนหลังแรกในเมืองน่าน ซึ่งเป็นโรงเรียนชาย ตรงกันข้ามคือตึกรังษีเกษม เป็นโรงเรียนหญิงปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นหอประวัติศาสตร์จัดแสดงภาพถ่ายเล่าอดีตเมืองน่าน และสิ่งของเครื่องใช้ของโรงเรียนในสมัยนั้น อีกสถานที่ที่คนเกิดปีเถอะไม่ควรพลาด คือวัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุประจำปีเถอะ อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน เมื่อ 600 ปีที่แล้ว ถือเป็นปูชนียสถานคู่เมืองน่านและเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนไม่เสื่อมคลาย >>>ร่วม “รำวงมะเก่า” ชมพระไม้ล้านนา ที่บ้านมหาโพธิ์ นอกจากความงามของวัดและตึกเก่าในเมืองน่าน ยังมีวิถีวัฒนธรรมชุมชนให้ได้ร่วมเรียนรู้และมีส่วนร่วมกับการรำวงและฟ้อนพื้นบ้าน ซึ่งช่วงเย็นของทุกวันพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยชุมชนบ้านมหาโพธิ์จะมารวมตัวกันที่สวนสาธารณะตรงข้ามวัด เพื่อออกกำลังกายโดยการรำวงมะเก่า หรือรำวงแบบสมัยก่อน ส่วนเด็กๆ ในชุมชนก็จะมาฝึกฟ้อนล่องน่าน ฟ้อนแหงน เพื่อสืบสานศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้าน นอกจากการรำวง ชาวบ้านยังรวมตัวกันทำกำไรหิน กำไรลูกปัด และนำเสื้อผ้าพื้นเมือง รวมทั้งข้าว และพืชผักพื้นบ้านมาวางขายในบริเวณวัดมหาโพธิ์ และยังคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่แวะเข้ามานมัสการพระพุทธรูปไม้แกะสลักปางประทับยืนทรงเครื่องกษัตริย์ที่งดงาม การมาเที่ยวแบบคนไม่เอาถ่านในทริปนี้ ทำให้ได้รู้ว่าเมืองน่านนั้นไม่ได้มีวัดหรือโบราณสถานที่งดงามเพียงอย่างเดียว ถนนทุกเส้น ทุกตรอกซอย มีวิถีผู้คนดำเนินไปตามปกติ คือความงดงามที่ซ่อนอยู่ หากเราได้ใช้ชีวิตแบบเนิบช้า ค่อยๆ เข้าไปสัมผัสและมีส่วนร่วมเรา ใส่ใจและเป็นมิตรกับสถานที่นั้นๆ เราจะสามารถเติมเต็มความสุขนั้นได้ไม่รู้จบ *สามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวตามแคมเปญ “แอ่วม่วนใจ๋ ไม่เอาถ่าน” ได้ที่ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. โทร. 0-5477-1077