ใกล้หน้าฝนทีไร แผนการเที่ยวของใครหลายคนก็ต้องปิดตัวไป แต่ครานี้ “นายรอบรู้” รออยู่หน้าประตู ก๊อกๆ ชวนเที่ยวเมืองตรัง ด้วยเห็นว่าช่วงนี้มีโปรโมชั่นของสายการบินโลว์คอตหลายเจ้า ว่าแล้วก็รีบเก็บกระเป๋าไปเที่ยวเมืองตรังกัน การเดินทางมาเมืองตรังนั้นสะดวกกว่าที่หลายคนคิด เพราะมีสายการบินหางเหลืองและหางแดงมีไฟล์บินตรงมาที่สนามบินตรังประมาณ 2-3 ไฟล์ต่อวัน และที่สำคัญเป็นช่วงมีโปรโมชั่นตั๋วถูกลดราคาไปกลับแค่พันนิดๆ เมื่อมาถึงแล้วจะมีรถตู้ให้บริการเข้าเมืองตรังให้บอกว่าลงตรงไหนราคาประมาณ 90 บาท จริงๆ สนามบินไม่ไกลจากเมืองมาก หรือใครจะขับรถมาก็มุ่งหน้าลงใต้ตามทางหลวงหมายเลข 35 เข้าทางหลวงหมายเลข 4 เชื่อมตรงยาวกับทางหลวงหมายเลข 41 ขับมาถึง อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช แล้วค่อยเลี้ยวเขาทางหลวงหมายเลข 403 ขับตรงเข้าตัวเมืองตรังเลย รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 852 กม. ใช้เวลาประมาณ 10-12 ชม. สุดท้ายคือการนั่งรถทัวร์จากสถานนีขนส่งสายใต้ขึ้นจากกรุงเทพฯในตอนเย็นและมาถึงตรังในช่วงเช้าตรู่ การเที่ยวเมืองตรังที่ “นายรอบรู้” อยากแนะนำคือ นั่งตุ๊กตุ๊กเที่ยวเมืองและเดินเหยียบยอดไม้ในทุ่งค่าย แหล่งเช่ารถตุ๊กตุ๊กที่สำคัญคือบริเวณสถานีรถไฟจังหวัดตรัง คนเมืองตรังเรียกรถชนิดนี้ว่า “รถตุ๊กตุ๊กหัวกบ”นับเป็นพาหนะสุดคลาสสิกประจำเมือง พวกเราเช่าเจ้าหัวกบกันที่สถานีรถไฟตกลงราคาที่ชั่วโมงละ 200 บาท เราเลยต้องวางแผนให้ดี โดยยึดหลักว่าเที่ยวได้หลายแห่งแต่ประหยัดเวลา เพราะยิ่งโมงยามผ่านไปยิ่งต้องเสียเงินมากขึ้น พวกเราได้รถตุ๊กตุ๊กของโกผ่อง โชเฟอร์เชื้อสายจีนฮกเกี้ยน (โกหมายถึงพี่ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงจะเรียกจี้ไว้ก่อน หมายถึงพี่สาว) ในตอนเช้าพวกเรายังไม่มีร้านอาหารเช้าในดวงใจ จึงให้โกผ่องขับพาพวกเราไปไปหามื้อเช้ากินกันก่อนดีกว่า มาถึงเมืองตรังถ้าไม่ไปชิมติ่มซำกับกาแฟหรือชาร้อนๆ ก็กระไรอยู่โกผ่องจึงพาเราไปร้านเลตรัง 2 (ซ. ราชดำเนิน 1 ใกล้กับ รพ. ราชดำเนิน อ. เมืองตรัง โทร0-7521-7700, 08-1665-5870 เปิดเวลา 06.00-11.00 น. -14.00 20.00 น. ) ชิมติ่มซำกับกาแฟหรือชาร้อนๆ รองท้องในมื้อเช้า โกผ่องเริ่มพาเราทัวร์รอบตัวเมืองตรัง บ้านเมืองวิถีผู้คนดูแปลกตาสำหรับพวกเราที่มาเยือนเมืองตรังเป็นครั้งแรก เมืองตรังเป็นเมืองเงียบสงบรถไม่เยอะ คนไม่พลุกพล่านบ้านเมืองตั้งอยู่บนเนินที่คนใต้เรียกว่าควน ตุ๊กตุ๊กหัวกบพาพวกเราเดี๋ยวขึ้นที่สูงเดี๋ยวลงต่ำด้วยภูมิประเทศอย่างนี้กระมังจึงไม่มีรถสามล้อถีบอย่างบ้านเมืองอื่น เลียบเรื่อยมาถึง ถ. พัทลุงอันเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการเมืองตรัง จะเรียกถนนสายนี้ว่าเป็นถนนดอกไม้ก็คงไม่ผิด ในช่วงหน้าร้อนที่นี้จะเต็มไปด้วยดอกศรีตรังดอกสีม่วงของพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดชูช่อสลับสล้างกับดอกสีชมพูของชมพูพันธุ์ทิพย์ดูชื่นตา ใกล้กันมีวงเวียนน้ำพุพะยูน เป็นรูปปั้นพะยูนทั้งครอบครัวดูน่ารักชาวตรังภูมิใจว่าท้องทะเลตรังเป็นถิ่นอาศัยของพะยูนที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งอันดามัน พบเห็นได้บ่อยบริเวณเกาะลิบงเพราะเป็นแหล่งหญ้าทะเลซึ่งเป็นอาหารหลักของพะยูนโกผ่องขับรถวนพาชมหอนาฬิกาซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง หอนี้ในอดีตทางราชการใช้เป็นหอกระจายข่าว ก่อนจะผ่านไปยังบ้านนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีบน ถ. วิเศษกุล อันเป็นจุดสนใจอีกแห่งของเมืองตรัง ใครๆ มาเที่ยวเมืองตรังก็คงอยากเห็นบ้านนายกฯ ชวนกันทั้งนั้น พอมาถึงเราก็ได้เห็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ตั้งอยู่ท่ามกลางไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ดูร่มรื่นจุดเที่ยวต่อไปอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก คือการเดินเที่ยวชมย่านตึกเก่าสถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียลในเมืองตรัง เป็นตึกศิลปะลูกผสมระหว่างจีน โปรตุเกส อังกฤษ ฮอลันดา และฝรั่งเศส ซ่อนตัวอยู่ตาม ถ. ราชดำเนิน ถ. กันตัง และ ถ. พระรามหก ปรากฏร่องรอยความเก่าแก่ให้เห็นบ้างประปรายเราเริ่มเดินจาก ถ. กันตังไปเรื่อยๆฝั่งขวามือเป็นตึกแถวสองชั้นประมาณสิบช่วงตึก บริเวณนี้ถือเป็นย่านตึกเก่าแก่ที่สุดก็ว่าได้ดูคล้ายตึกแถวภูเก็ตคือหน้าตึกมี “อาเขต” หรือทางเดินทำเป็นซุ้มโค้งเชื่อมไปตลอดแนวตึก โดยชั้นบนของตึกยื่นล้ำออกมาเป็นหลังคากันแดดกันฝนให้ทางเดิน เราเดินไปจนถึงสี่แยกท่าจีน ก่อนย้อนขึ้นมาที่ ถ. ราชดำเนิน ถนนสายนี้เสมือนเป็นเส้นทางการค้าหลักของตรัง จึงมีตึกเก่าตึกไม้ แทรกตัวปะปนกับตึกสมัยใหม่ที่ปรับปรุงตกแต่งเป็นร้านค้า ร้านยา ร้านกาแฟ เราเดินพลางชมตึกเก่าและวิถีชีวิตอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งเดินยิ่งเหมือนเล่นเกมซ่อนหา เพราะตึกเก่ากระจายตัวอยู่หลายหย่อมบ้างก็อยู่ตามซอกหลืบให้เราเที่ยวตามค้นหากันสนุกจนลืมเหนื่อย สุดท้ายเราแวะที่ศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอปเพื่อเลือกซื้อของฝาก โดยเฉพาะขนมเค้กเมืองตรัง ขนมเค้กมีรู เนื้อเนียนละเอียดกลิ่นหอม มีให้เลือกหลายรส ทั้งกาแฟ เนยสด ลูกเกดและเตยหอม ไม้เทพทาโรหรือไม้จวงมีกลิ่นหอม แกะสลักเป็นรูปพะยูน ก็เป็นสินค้าขายดิบขายดี มีแกะเป็นรูปอื่นด้วย เช่น ปลาทะเล เต่าทะเล นอกจากนี้ก็มีผ้าทอนาหมื่นศรี กะปิ ให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านใครได้มาเที่ยวเมืองตรัง จะหลงรักเมืองสงบๆ แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว วันรุ่งขึ้นพวกเราเหมารถตุ๊กตุ๊กไปยังทุ่งค่าย เพราะรู้มาว่ามีทางเดินบนสะพานแขวนเรือนยอดไม้แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย สะพานแขวนที่ว่านี้อยู่ในสวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) (ตั้งริมทางหลวงหมายเลข 404 ทางไปอำเภอย่านตาขาว ห่างจากเมืองประมาณ 10 กม.)ซึ่งเป็นสวนที่อนุรักษ์ผืนป่าอันกว้างขวางเกือบ 3,000 ไร่ไว้ ผืนป่านี้มีทั้งป่าดิบที่มีพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่ ลำต้นสูงลิบลิ่ว ไปจนถึงป่าพรุในพื้นที่ชุ่มน้ำ ได้รับการประกาศให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ในปี พ.ศ. 2536 ยุคที่นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างทางจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นสะพานแขวน พวกเราได้เดินศึกษาป่าดิบชื้นซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของสวนพฤกษศาสตร์ฯ คือประมาณร้อยละ 61.5 ของพื้นที่ ในป่าดิบชื้นเราเห็นพันธุ์ไม้พื้นล่าง เช่น เฟิน เห็ด รา ขึ้นในที่ชื้นที่แทบไม่มีแสงแดดเล็ดลอดเข้าไปถึง เพราะมีพันธุ์ไม้อย่างเคี่ยม หูยาน พะยอม ปกคลุมอย่างหนาแน่นสะพานแขวนอยู่บนเส้นสลิงขนาดใหญ่ พาดผ่านบนเรือนยอดไม้เป็นระยะทางเกือบ 300ม. ขณะเดินอยู่บนสะพานแขวนเสมือนกำลังก้าวย่างไปบนยอดไม้ที่สูงจากพื้นดินนับหลายสิบเมตร ได้ชมเรือนยอดไม้เขียวทึบอย่างป่าดิบชื้นเมืองใต้ ระหว่างแนวสะพานจะมีหอคอย 6 หอตั้งอยู่เป็นระยะๆ แต่ละหออยู่ที่ระดับความสูงต่างกันไป สูงที่สุดที่ 18 ม. นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปบนหอคอยเพื่อชมเรือนยอดไม้และดูนกได้ มีนกแต้วแล้วธรรมดา นกแซงแซว นกกะเต็น เป็นต้น หากโชคดีอาจได้เห็นสัตว์ป่าหายากอย่างพญากระรอกดำที่ในภาคใต้เรียกพะแมวเป็นสัตว์ในกลุ่มกระรอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในไทย มันจะกระโดดจากยอดไม้หนึ่งไปอีกยอดหนึ่งที่อยู่ไกลถึง 22 ฟุตได้ ถ้ามาในช่วงที่กล้วยไม้ป่าผลิดอก ก็จะได้พบความงามของกล้วยไม้ป่าหลากชนิดที่แต่งแต้มให้ป่ายิ่งงามน่าชมความประทับใจสุดๆ ในทริปเที่ยวชมธรรมชาติของพวกเราครั้งนี้คือการได้ชมดอกต้นหว้าที่บริเวณหอคอยที่ 4 ดอกเล็กๆ สีขาวนวลนั้นสะพรั่งเต็มต้น จากหอนี้หากมองไปยังหอคอยที่ 5 จะเห็นต้นตะเคียนยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ ที่หอคอยที่ 5 เราได้พบสัจธรรมจากธรรมชาติของต้นไทร ต้นไทรเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่ามากมาย แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นฆาตกรเลือดเย็นสูบเลือดสูบเนื้อต้นไม้ใหญ่ที่มันเกาะอยู่จนไม้นั้นตายลงในที่สุดแล้วสะพานแขวนก็มาสิ้นสุดที่หอคอยที่ 6 ต้นหูยานขนาดใหญ่รออยู่ที่จุดนี้หูยานต้นนี้แตกต่างจากหูยานทั่วไป เพราะลำต้นแยกออกเป็นห้ากิ่ง ขณะที่ต้นอื่นมีลำต้นเดียวไม่แตกแขนงลงจากสะพานแขวนเราก็เข้าสู่ดินแดนแห่งป่าพรุ มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกว่า 1 กม. ถ้ามาเดินช่วงแดดร่มลมโชยจะน่ารื่นรมย์มาก นอกจากอากาศไม่ร้อนแล้วยังจะได้เห็นสิงสาราสัตว์กลับเข้าสู่รวงรังในช่วงเย็นป่าพรุเกิดในพื้นที่ลุ่มต่ำที่มีน้ำจืดท่วมขังตลอดทั้งปี และมีการสะสมของซากพืชและอินทรียวัตถุภายในสภาวะน้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่อง พืชพรรณส่วนใหญ่จึงวิวัฒนาการส่วนของรากให้มีโครงสร้างพิเศษเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ ต้นไม้ขนาดใหญ่อย่างเทียะ กาแดะ อกปลาช่อน หรือหว้าดิน มีพูพอนเป็นรากค้ำยันโดยยื่นออกนอกลำต้นบริเวณโคน แต่ต้นไม้บางชนิดก็มีระบบรากแก้วสั้น แต่รากแขนงจะแผ่กว้างอย่างแข็งแรง หรือมีระบบรากเสริมดังเช่นต้นตังหน ต้นขมิ้น ที่มีรากค้ำยันให้มั่นคงแข็งแรง ขณะที่ต้นสะเตียวและต้นเลือดควายใบใหญ่มีระบบรากหายใจโผล่ขึ้นมาเพื่อช่วยพยุงลำต้นบริเวณใกล้สุดเส้นทางป่าพรุมีของดีให้ดูคือหม้อข้าวหม้อแกงลิง พืชเด่นอีกชนิดของป่าพรุ แต่ต้องตั้งใจมองหาสักหน่อยเพราะหญ้าขึ้นค่อนข้างรก ทั้งหากมองผ่านๆ มันจะดูกลืนไปกับหญ้าและพืชชนิดอื่นด้วย หม้อข้าวหม้อแกงลิงบริเวณนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่ขนาดเล็กสีเขียวอ่อนไปจนถึงขนาดใหญ่สีชมพูและสีม่วง นอกจากนี้ยังมีกล้วยไม้ดินอย่างยี่โถปีนังหรือหญ้าจิ้มฟันควายออกดอกน่ารักๆ แซมอยู่ตามพงหญ้าให้ชมเพลินตาด้วระหว่างเดินทางกลับ ตามแนวไม้วงศ์ยางมีนกแซงแซวและนกอื่นอีกหลายชนิดบินอวดโฉมให้ดู จากนั้นก็มีเสียงส่งท้ายจากชะนีดังมาจากมุมหนึ่งของสวนพฤกษศาสตร์ฯสิ่งต่างๆ ประดามีที่ได้พบเห็นทำให้พวกเรารู้สึกคุ้มเกินคุ้มสำหรับการเดินป่าครั้งนี้ >>>สอบถามข้อมูลได้ที่ เทศบาลนครตรัง โทร. 0-7521-8017 ต่อ 1164, 1209 >>>ที่พัก 1. ระเบียงตรัง ถ. รักษ์จันทร์ อ. เมืองตรัง โทร. 0869662490,0831731879 ราคาประมาณ600 บาท 2. ศิษย์ธรรมเกสต์เฮ้าส์ ถ. ทางหลวงหมายเลข 419 ใกล้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง อ. เมืองตรัง โทร. 0-7525-82461, 0-7525-8246, 08-7380-6968, 08-645-2142 ราคา 405-600 บาท 3. อีโค่อินท์ ถ. ห้วยยอด อ. เมืองตรัง โทร. 0-7521-1313-4 ราคา 800-1000 บาท 4. ศรีตรัง ถ. พระรามหก ใกล้กับสถานีรถไฟตรัง โทร. 0-7521-8122 ราคา 740 บาท