“ผิดยุคละ นี่มันปี 2018 แล้ว ไดโนเสาร์ตายไปหมดแล้วโว้ย…” ประโยคสั้นๆ ที่ลอยลมเข้าโสตสัมผัสระหว่างเดินสวนกับนักศึกษากลุ่มใหญ่ กระตุกต่อมความคิดขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่า “ไดโนเสาร” ที่นักศึกษากลุ่มนั้นหมายถึงสัตว์โลกยุคโบราณจริงๆ หรือสัตว์จำพวกหนึ่งที่มีความคิดโบราณ แต่ที่เห็นอยู่ก็ไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นสัตว์โบราณมากกว่า ‘เออว่ะ ถ้ายุคนี้ ยังคงมีไดโนเสาร์มาเดินป่วนเปี้ยนจะเป็นยังไง’ พอความคิดในหัวแล่น จินตนาการผมก็เริ่มทำงานทันที กรณีที่ 1 ไอตัวโบราณขนาดยักษ์พวกนี้อาจจะกินมนุษย์เป็นอาหารว่างเหมือนสแน็ค กรณีที่ 2 มนุษย์นี่แหล่ะจะหยิบปืนขึ้นประทับบ่ายิงเสือดำ เอ้ย! ยิงเจ้าสัตว์ล้านปีพวกนี้เป็นกีฬา กรณีที่ 3 อุกกาบาตยักษ์ตกใส่โลกเหมือนที่เราเคยได้ยินอาจกลับมาอีกครั้ง เริ่มเดินทางด้วยเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองเพียงชั่วโมงกว่าๆ เครื่องบินก็ลงที่จังหวัดข่อนแก่น จากนั้นต่อรถตู้ไปจังหวัดกาฬสินธุ์ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ก่อนจะไปเจอของจริงเรามาแวะพักเบรคชิว ๆ ชมบรรยากาศข้างแม่น้ำกับเจ้าไดโนเสาร์ที่ยืนกันอยู่เต็มท้องทุ่งกับ “สวนไดโนเสาร์” อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เดินทางต่อไปยังสถานที่ ที่เป็นจุดไฮไลท์ที่จะทำให้เราคลายความสงสัยเรื่องไดโนเสาร์คือพิพิธภัณฑ์สิรินธร (Sirindhorn Museum) ตั้งอยู่ ตำบลโนนบุรี จังหวัดกาฬสินธุ์ สถานที่แห่งนี้เก็บรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้มากมาย โดยเฉพาะไดโนเสาร์ที่ขุดพบในประเทศไทย รวมถึงเป็นคลังจัดเก็บตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ที่สำคัญของประเทศ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระนาม “สิรินธร” มาเป็นชื่อพิพิธภัณฑ์และเสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับยุคเริ่มแรกของการกำเนิดโลกจนเกิดวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งหมด 8 โซนด้วยกัน ประกอบด้วย กำเนิดโลกและจักรวาล, กำเนิดสิ่งมีชีวิต, มหายุคพาลีโอโซอิก, มหายุคมีโซโซอิก, วิถีชีวิตไดโนเสาร์, ปริศนาการสุญพันธุ์, มหายุคซีโนโซอิก และสุดท้ายเรื่องราวของมนุษย์ หลังจากเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ผมตื่นเต้นที่ได้สัมผัสบรรยากาศเหมือนอยู่ในยุคไดโนเสาร์จริงๆ และได้เยี่ยมชมห้องปฎิบัติการเก็บรักษาฟอสซิลที่มีความทันสมัย สามารถใช้งานได้จริง ทุกสิ่งอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจอย่างกับห้องทดลองในภาพยนต์ Jurassic park (1993) เลยทีเดียว หลังจากได้ความรู้พอสมควร มาถึงที่นี่มีหรือจะไม่ไปดูซากดึกดำบรรพ์หรือ “ฟอสซิล” ตัวจริงเสียงจริง ณ หลุมขุดค้นภูกุ้มข้าว ผู้ค้นพบคือพระญาณวิสาลเถระ ในปี พ.ศ.2521 หลังการสำรวจอย่างเป็นทางการพบกระดูกไดโนเสาร์กว่า 750 ชิ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสภาพสมบูรณ์กระดูกเรียงต่อกันในลักษณะนอนคว่ำ จากการศึกษาพบว่าเป็นกระดูกของไดโนเสาร์ “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน” เห็นแค่นี้คงยังไม่สะใจพอ จึงเดินทางต่อไปยังวนอุทยานภูแฝก ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ แหล่งที่ค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์ ถึง 21 รอย ปรากฏเป็นแนวรอยทางเดิน 6 แนวแตกต่างกันออกไป ที่สมบูรณ์และเห็นชัดที่สุดปรากฏเพียง 3 แนว จากการศึกษาสันนิษฐานว่าเป็นรอยทางเดินของไดโนเสาร์สายพันธ์กินเนื้อขนาดใหญ่ในอดีตเมื่อประมาณ 140 ล้านปีที่แล้ว เมื่อลองวางเท้าเทียบขนาดพบว่ารอยเท้าไดโนเสาร์ใหญ่กว่าเท้าเราถึง 3 เท่า คงไม่แปลกถ้าหากพวกมันยังมีชีวิตในยุคนี้ คงเป็นนักล่าอันดับ 1 ในห่วงโซ่อาหารแทนที่มนุษย์ก็เป็นได้ หลังจากได้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์ ได้เห็นฟอสซิลจริงและได้เทียบขนาดรอยจริงๆ คงเรียกว่าได้เก็บครบทุกองค์ประกอบที่ทำให้กระจ่างคลายความสงสัยเรื่องไดโนเสาร์เลยทีเดียว และตอนนี้คงถึงฤกษ์งามยามดีในการพักผ่อนจากการเดินทางตามหาเจ้าไดโนเสาร์ทั้งวัน ที่ ตลาดโรงสี THE RICEMILL MARKET ตั้งอยู่ใน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ แต่ใครจะไปคิดว่ามาพักผ่อนหย่อนใจยังมิวายเจอกับไดโนเสาร์อีก แต่ครั้งนี้มาในรูปแบบของขนมปังกรอบที่ประดับตกแต่งมาในเมนูชื่อ “ภูเขาไฟไมโล” และเจ้าไดโนเสาร์ก็ปรากฏอีกในหลายเมนูขึ้นชื่อของที่นี้ ทริปนี้จึงเป็นการตามรอยไดโนเสาร์อย่างครบสมบูรณ์แน่นอน และแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องบินกลับ การมากาฬสินธุ์ครั้งนี้คุ้มค่าแน่นอนได้ทั้งความรู้และได้สัมผัสกลิ่นอายสัตว์โลกล้านปีอย่างใกล้ชิด แม้ว่าไดโนเสาร์สูญพันธ์ไปแล้ว แต่สิ่งมีชีวิตยุคนั้นหลายชนิดยังสามารถอยู่รอดมาถึงปัจจุบัน ทำให้นึกถึงคำพูดอมตะของ ชาร์ลส์ ดาวิน (Charles Robert Darwin) นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ว่า “ผู้อยู่รอด คือผู้ที่รู้จักปรับตัว เข้าหาสภาพแวดล้อม ไม่ใช่ปรับสภาพแวดล้อมไปตามความต้องการที่ไม่สิ้นสุด” ไม่แน่ว่าหากมนุษย์ยังไม่รู้จักพอ เราอาจเหลือเพียงแค่ฟอสซิลทิ้งไว้บนโลกใบนี้ก็เป็นได้ ขอขอบคุณ : งานสื่อมวลชนสัมพันธ์ในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย