ในบรรดาชุมชนต่างๆ บนเกาะสมุย หากจะมีสักชุมชนที่เป็นดังภาพจำลองของคนสมุยยุคเก่าก่อน ชุมชนนั้นน่าจะเป็น บ้านหัวถนน ใน ต. มะเร็ต ทางใต้ของเกาะ บรรยากาศในหมู่บ้านเหมือนย้อนกลับสู่อดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน คนไทยพุทธ คนมุสลิม และคนจีน อยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย และในชุมชนมีทั้งวัด มัสยิด และศาลเจ้า เรียกได้ว่า สามศรัทธารวมเป็นหนึ่งเดียว เช้าตรู่แสงแดดอ่อนเราออกมาเดินที่หัวโค้งบ้านหัวถนน ชม เรือนแถวไม้แบบจีน อายุร่วม 90 ปีหลายหลัง ซึ่งนับว่ามีสภาพสมบูรณ์ที่สุดที่คงเหลืออยู่บนเกาะสมุย ประตูหน้าเรือนเป็นฝาเฟี้ยมพับเปิดปิดได้ เหนือประตูเป็นช่องลมไม้ฉลุสวยงาม บ้านเลขที่ 277 ของคุณยายสุนี ศรีฟ้า ที่เดิมเป็นร้านรับตัดเย็บเสื้อผ้าชื่อ “พรรณงาม” คือเรือนหลังหนึ่งซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม ทุกเช้าคุณยายจะออกมานั่งหน้าบ้าน เดินจักiแบบโบราณเย็บผ้าเล็กๆ น้อยๆ และทักทายเพื่อนบ้านที่ผ่านไปมาด้วยไมตรี เมื่อเราแวะเข้าไปพูดคุย คุณยายยิ้มแย้มต้อนรับและเล่าเรื่องในวันวานอย่างมีชีวิตชีวาคุณยายสุนีมีเชื้อสายไทยผสมจีนไหหลำ แม่คุณยายเป็นชาวสวนบนเกาะสมุย ส่วนพ่อมาจากเมืองจีน ในสมัยนั้นผลไม้มีราคาดี ยายของคุณยายสุนีจึงมีเงินปลูกบ้านหลังนี้ซึ่งเป็นเรือนแถวไม้แบบจีนหลังแรกในย่านหัวถนน โดยจ้างช่างจีนนับสิบคนมาจากกรุงเทพฯ ซื้ออิฐปูพื้นและกระเบื้องใส่ท้องเรือมาจากเมืองจีน ว่ากันว่าหุงข้าวเลี้ยงช่างแต่ละทีต้องใช้กระทะใบโตเลยทีเดียว ล่วงถึงวันนี้แม้เรือนแถวไม้ที่ปลูกสร้างในยุคเดียวกันจะทยอยถูกรื้อไปจนเกือบหมด แต่เรือนหลังนี้ยังคงอยู่เพราะคุณยายสุนีอยากเก็บไว้ให้ลูกหลานได้เรียนรู้ถึงความเป็นอยู่ของคนรุ่นคุณยายคุณทวดคนเชื้อสายจีนบ้านหัวถนนเกือบทั้งหมดเป็นจีนไหหลำ ในอดีตเมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน ยุคที่อาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจ ชาวจีนไหหลำเดินเรือออกไปค้าขายกับอินเดีย ระหว่างทางมักแวะพักที่เกาะสมุยเนื่องจากมีแหล่งน้ำจืด นักวิชาการสันนิษฐานว่า ชื่อ “สมุย” เพี้ยนมาจากคำว่า “เซ่าบ่วย” ที่ชาวไหหลำแปลว่าด่านแรก คนไหหลำอาจลงหลักปักฐานที่นี่ตั้งแต่ครั้งนั้น แล้วอพยพมาอาศัยกันหนาแน่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และอพยพเข้ามาเพิ่มในเวลาต่อมา โดยจับจองพื้นที่ริมชายฝั่งทำการค้าทางทะเล ขายครั่ง และซื้อเครื่องถ้วย เหล้า ผ้าไหม จากเรือสำเภาจีนมาจำหน่ายให้คนพื้นถิ่น รวมทั้งนำหมูจากไหหลำมาเลี้ยงบนเกาะด้วย จึงนับได้ว่าการพาณิชย์ของเกาะสมุยพัฒนาขึ้นโดยคนจีนกลุ่มนี้ศูนย์รวมจิตใจของคนจีนไหหลำบ้านหัวถนนคือ ศาลเจ้ากวนอูเกาะสมุย หากเดินจากหัวโค้งถนนขึ้นไปทางหาดละไมไม่ถึง 200 เมตรก็จะถึงบริเวณที่ตั้งศาล ศาลเจ้านี้สร้างมาตั้งแต่ปี 2415 ปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยยกตัวศาลให้สูงขึ้น แต่ยังคงรักษาโครงสร้างไม้ดั้งเดิมไว้ แล้วตกแต่งผสมผสานด้วยศิลปะสมัยใหม่ได้อย่างลงตัวสวยงาม นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติของคนจีนไหหลำบนเกาะสมุยเพื่อไม่ให้ลูกหลานลืมรากเหง้าของตนเองด้วย แม้ทุกวันนี้จะมีคนจีนไหหลำแท้ๆ เหลืออยู่บนเกาะสมุยไม่มาก บ้างล้มหายตายจาก บ้างอพยพออกไป แต่เพียงไม่ถึงชั่วโมงที่แวะไปที่ศาลเจ้า เรายังได้พบชาวบ้านแวะเวียนมาสักการะเทพยดาและบรรพบุรุษของพวกเขา โดยบนผนังของศาลมีภาพถ่ายบรรพบุรุษชาวไหหลำประดับเต็มทั้งสองด้าน สะท้อนว่าสายใยเครือญาติของชาวจีนไหหลำยังแน่นแฟ้น ชาวบ้านบอกอีกว่า ทุกปีในช่วงประเพณีกินผักและประเพณีแห่ก๋ง ลูกหลานชาวจีนไหหลำจะกลับมาร่วมงานกันอย่างเนืองแน่นชาวจีนไหหลำจับจองพื้นที่ริมชายฝั่งค้าขายกับเรือสำเภา ส่วนคนไทยซึ่งอยู่อาศัยบนเกาะสมุยมาเนิ่นนานแล้ว จับจองพื้นที่ด้านในเกาะซึ่งดินมีความอุดมสมบูรณ์กว่า ทำสวนผลไม้และสวนมะพร้าว และชาวมุสลิมก็อพยพเข้ามาจับจองพื้นที่ริมชายหาดเพื่อทำประมงในเวลาต่อมาหลังการอพยพของคนจีนจากศาลเจ้ากวนอู เราเดินย้อนลงมาที่หัวโค้งบ้านหัวถนน วกเข้าไปตามตรอกเล็กๆ สู่ ชุมชนมุสลิม ด้านหน้าชุมชนมี ตลาดหัวถนนแหล่งขายอาหารทะเลที่มีบรรยากาศคึกคักตั้งแต่เช้าจดเย็น ผู้ค้าขายในตลาดทั้งชาวมุสลิมและไทยพุทธจะไปรับปลาสดๆ จากบ้านชาวประมงที่อยู่ห่างไปไม่ถึง 200 เมตรมาวางขาย พวกเราได้เห็นปลาหน้าตาแปลกๆ หลายชนิด อย่างปลาโทง ปลาขี้เกง ปลาจุ้มปุ๋ย ฯลฯ รวมทั้งผลผลิตจากท้องทะเลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปู กุ้ง หมึก เห็ดหลุบ หรือหอยเม่นทะเล อีกทั้งบรรยากาศในตลาดก็แปลกจากที่เราคุ้นเคย เพราะอื้ออึงด้วยเสียงต่อรองราคาภาษายาวีของพ่อค้าแม่ขายชาวมุสลิมที่สืบเชื้อสายมาจากปัตตานีพวกเราก้าวออกจากตลาดเดินเลียบหาดไปทางชายทะเล ยามสายเช่นนั้นเราเห็นเรือประมงบรรทุกปลามาเต็มลำกำลังกลับจากทะเล ภาพชาวบ้านหิ้วปลาเต็มตะกร้าจากเรือกลับเข้าฝั่งตะกร้าแล้วตะกร้าเล่า บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของทะเลแถบนี้ได้เป็นอย่างดีจากชายหาด เราเดินเข้าไปในชุมชนมุสลิมที่ส่วนใหญ่เป็นชาวประมง ผ่านชาวบ้านที่กำลังตากปลาและกลุ่มเด็กที่วิ่งเล่นกันสนุกสนานในสวนมะพร้าว ลัดเลาะมาจนถึง มัสยิดนูรุลเอียะห์ซาน ที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน วันที่เราไปเยือน มีการจัดค่ายจริยธรรมที่มัสยิดพอดี เด็กๆ ในชุมชนมาเข้าค่ายหลายสิบคน โต๊ะอิหม่ามบอกว่า ยุคสมัยที่มีนักท่องเที่ยวแต่งชุดว่ายน้ำหรือถือขวดเหล้าเดินไปมาเต็มเกาะเช่นนี้ ชาวมุสลิมต้องสอนลูกหลานให้เข้มแข็งจากภายในเมื่อเสียงอะซานดังขึ้น ชาวมุสลิมบ้านหัวถนนต่างวางมือจากภารกิจตรงหน้าแล้วทยอยเดินเข้าไปละหมาดที่มัสยิด ภาพเด็กและผู้ใหญ่ค้อมกายลงแนบพื้นเพื่อรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นภาพความศรัทธาที่งดงามอีกภาพหนึ่ง หลังออกจากชุมชนมุสลิม เราไปที่ วัดสำเร็จ หรือวัดมะเร็ต ศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยพุทธในย่านนี้บ้าง วัดเก่าแก่แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในวัดมีหอสวดมนต์ไม้และธรรมาสน์ไม้แกะสลักฝีมือช่างชาวจีนที่ยังคงงดงามแม้อายุร่วม 100 ปีแล้ว สิ่งแปลกตาที่สุดคือ พระพุทธรูปในวิหารหลายสิบองค์ที่สร้างจากหินปะการังแทนปูน ท่านเจ้าอาวาสเฉลยว่า ในสมัยก่อนไม่มีปูน ช่างจึงนำหินปะการังมาบดแล้วปั้นเป็นพระพุทธรูป ถวายเป็นพุทธบูชาตามความศรัทธาของตน ทุกวันพระจะมีชาวบ้านมาทำบุญที่วัดสำเร็จกันอย่างคึกคัก และในวันที่วัดมีงานบันเทิง คนจะมากันเนืองแน่นไม่น้อยไปกว่างานบุญในวันพระใหญ่ วันที่เราไปนั้นมีคณะหนังตะลุงชื่อดังมาแสดง ชาวบ้านไม่ว่าคนจีน ไทยพุทธ หรือมุสลิม ต่างแห่มาจับจองพื้นที่หน้าจอหนังตะลุงกันเต็มลานวัด ครั้นการแสดงเริ่ม เสียงหัวเราะก็ดังลั่นไปทั่วภาพชีวิตดั้งเดิมของคนที่นี่เป็นฉากชีวิตซึ่งมีสีสันไม่แพ้ย่านแสงสีที่อยู่อีกฟากของเกาะเลยทีเดียว !