หากพูดถึงแหล่งมรดกโลกในประเทศไทยของเรา ทุกคนพอจะนึกออกไหมคะ ว่ามีสถานที่ไหนบ้าง แต่หลายคนก็พอจะทราบดีว่ามีป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง หรือป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ที่เป็นมรดกโลกในทางธรรมชาติ รวมถึง อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม โดยทั้งหมดนี้ถูกรับรองจากองค์กรการสหประชาชาติ หรือ UNESCO ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่นอกเหนือจาก “มรดกโลก” ภายในประไทยที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าประเทศไทยของเรานั้น ยังมีมรดกโลกที่ได้รับการรับรองจากองค์กรยูเนสโก้ อีกหนึ่งแห่ง นั่นก็คือ “อุทยานธรณี ที่จังหวัดสตูล” นั่นเอง และวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ อุทยานธรณี ที่จังหวัดสตูล ให้มากขึ้น บอกได้เลยว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรต้องอนุรักษ์ รักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติที่สวยงาม และทรงคุณค่าดังเดิม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ การที่จะได้รับยกย่องให้เป็นพื้นที่มกดกโลกทางธรณีวิทยา หากพื้นที่นั้นๆ ไม่มีความอุมดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติจริงๆ และจำเป็นต้องมีความโดดเด่นทางธรณีวิทยา เช่น มีแร่ธาตุจำนวนมาก หรือเป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ เป็นต้น แน่นอนว่าอุทยานธรณีสตูลนั้น มีคุณสมบัติครบทุกประการ แถมยังมีอาณาเขตครอบคลุมถึง 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอทุ่งหว้า อำเภอมะนัง อำเภอละงู และบางส่วนในอำเภอเมือง รวมถึงการครอบคลุมพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา อีกด้วย อุทยานแห่งชาติตะรุเตา เครดิตรูปภาพ https://sites.google.com/site/ailovestma/1-xuthyan-haeng-chati-ta-ru-tea-xaphex-langu-canghwad-stul อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา เครดิตรูปภาพ https://www.ท่องทั่วไทย.com/อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา-สตูล/ ก่อนจะมาเป็นอุทยานธรณีสตูล มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร ? เราจะมาเล่าให้ทุกคนฟัง เรื่องราวเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ สมัยก่อนพื้นที่อำเภอทุ่งหว้านี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เป็นเพียงแค่ทางผ่านไปมาของนักท่องเที่ยวเท่านั้น จนวันหนึ่งมีชาวบ้านเข้าไปจับกุ้งในถ้ำ และได้ไปเจอเข้ากับวัตถุประหลาด ลักษณะคล้ายฟันกรามของช้าง จึงนำออกมายังหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเป็นงาช้าง บ้างก็ว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ต้องกราบไหว้บูชาเทวดาท่านให้มา จนกระทั่ง นาย ณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกเทศมนตรีองค์การบริการส่วนตำบลทุ่งหว้า ได้ให้นักวิชาการทางธรณีวิทยาเข้ามาตรวจสอบ และก็ได้คำตอบว่า มันคือ ฟันกรามของช้างสเตนโกดอน นั่นเอง ซึ่งช้างชนิดนี้เป็นช้างที่มีอายุอยู่ในช่วงสมัยไมโอซีน ยุคเทอร์เชียรี มหายุคของซีโอนิค (หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคือยุคของอะไร เพราะไม่ได้จบธรณีวิทยามา) เอาเป็นว่าเจ้าช้างสเตนโกดอนเนี่ย มันเป็นช้างที่เคยอาศัยอยู่บนโลกของเราเมื่อราวๆ 2 ล้านปีก่อน นั่นเอง และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้นักธรณีวิทยาให้ความสนใจ หลังจากเหตุการณ์ค้นพบฟันกรามของช้างสเตนโกดอน ก็มีการส่งนักธรณีวิทยาเข้ามาทำการสำรวจ และทำให้พบคลังคุณค่าแห่งซากดึกดำบรรพ์ในยุค 500 ล้านปีก่อน มากมาย หลังจากนั้นทาง อบต.ทุ่งหว้า ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า เพื่อเป็นการเก็บรวบรวมซากดึกดำบรรพ์ของช้างต่างๆ ที่ถูกค้นพบ รวมถึงฟันกรามของช้างสเตนโกดอน ก็ถูกเก็บไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมภายในอาคารแห่งนี้ด้วย ต่อมานักสำรวจทางธรณีวิทยาได้ลงพื้นที่สำรวจบริเวณใกล้เคียงกับอุทยานธรณีสตูลอย่างจริงจัง ทำให้รู้ว่าพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกันนั้น เคยเกิดปรากฏการณ์ของเปลือกโลก เคลื่อนตัวขึ้นมาจากใต้ทะเล หนุนให้ชั้นดินที่อยู่ลึกมากๆ โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ บางส่วนถูกทับถมกลายเป็นภูเขา อันประกอบไปด้วย ชั้นหินตะกอน หินปูน หินทราย และหินดินดาน และบางส่วนก็กลายเป็นโพรงถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยรูปทรงแปลกตาให้นักท่องเที่ยวใด้ชมในปัจจุบัน และเมื่อหินงอกหินย้อยเหล่านั้นถูกสาดส่องด้วยไฟหลากสี ยิ่งทำให้เห็นรูปทรงที่ชัดเจน แตกต่างจากการส่งดูด้วยไฟฉายธรรมดา เครดิตรูปภาพ https://thai.tourismthailand.org/ แผ่นดินของอุทยานธรณีสตูลจึงได้รับสมญานามว่า “ฟอสซิลแลนท์” เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นดี ที่ให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงาม แถมยังได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของธรณีวิทยาอีกด้วย นักท่องเที่ยวจะได้ชมความสวยงามของถ้ำต่างๆ เช่น ถ้ำเจ็ดคต ถ้ำภูผาเพชร ถ้ำอุไรทอง เป็นต้นตลอดจนได้ท่องเที่ยวชมน้ำตกสายวังทอง กับสายน้ำที่เย็นชุ่มฉ่ำ บรรยากาศดีๆ ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรณี เครดิตรูปภาพ https://thai.tourismthailand.org/ นี่คือ หินสาหร่าย ซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายที่ถูกทับถมจนกลายเป็นชั้นหิน โดยชาวบ้านเชื่อว่านี่เป็นศักดิ์สิทธิ์ จึงสร้างศาลาให้ เรียกว่าศาลเทวดาบุญส่ง เครดิตรูปภาพ https://thai.tourismthailand.org/ ห่างออกไปไม่ไกลจากบริเวณ ศาลเทวดาบุญส่ง มีภูเขาหินตะกอนที่ถูกทับถมด้วยซากดึกดำบรรพ์อายุนับล้านปี เครดิตรูปภาพ https://thai.tourismthailand.org/ จากเหตุการณ์ที่ชาวบ้านค้นพบฟันกรามของช้างสเตนโกดอนในวันนั้น ทำให้พื้นที่อุทยานธรณีสตูลเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ อุทยานแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยองค์กรยูเนสโก้ได้ยกให้เป็นมรดกโลกทางธรณีวิทยา ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ พากันเดินทางแห่แหนเข้ามาชมความน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติในสถานที่แห่งนี้ และนี่คือความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของคนไทย เรามีวัฒนธรรมที่โดดเด่น สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากคนไทยทุกคนไม่ช่วยกันอนุรักษ์ ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นเจ้าถิ่น ต้องช่วยกันดูแลรักษา ตลอดจนสืบสานวัฒนธรรมความเป็นไทย เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนรู้สืบต่อไป