นึกถึงบุรีรัมย์ ภาพจำคือปราสาทหินและจังหวัดทางผ่านบนเส้นทางอีสานใต้ วันนี้บุรีรัมย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ทันสมัยอย่างสนามฟุตบอล หรือสวนดอกไม้อันสวยงาม ทั้งยังมีโฮมสเตย์น่านอน น่าเที่ยวและมีกิจกรรมให้ทำด้วย นั้นคือโฮมสเตย์บ้านโคกเมือง อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ บ้านโคกเมือง เป็นชุมชนที่เก่าแก่สืบความได้ถึงสมัยขอมโบราณ (ขอมโบราณกับชาวเขมรในปัจจุบัน ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่?) มีหลักฐานสำคัญคือปราสาทเมืองต่ำ ที่สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-17 หรือพันกว่าปีก่อน เชื่อว่าบริเวณบ้านโคกเมืองเป็นชุมชนโบราณที่มีพัฒนาการตั้งแต่ยุคเหล็กในแอ่งวัฒนธรรมโคราช ปัจจุบันมีหลายกลุ่มชนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ทั้งไท-ลาวและคนเขมรอาศัยอยู่ร่วมกัน คนไท-ลาวจะเรียกคนเขมรว่า ขะแมร์ และคนเขมรจะเรียกคนไท-ลาวว่าพวกเลียว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชนกุยหรือส่วยอีกด้วย ชุมชนโคกเมือง ประกอบด้วย 4 หมู่บ้าน แวดล้อมด้วยทุ่งนา มีลักษณะเป็นโคกเนินดินที่มาของชื่อหมู่บ้าน คนส่วนใหญ่จึงมีอาชีพเกษตรกรรม ชุมชนโคกเมืองจัดตั้งโฮมสเตย์ขึ้นตั้งแตปี 2549 เรื่องความเชี่ยวชาญเรื่องโฮมเสตย์ไม่น้อย ในเวลาเย็นพวกเราเดินทางมาถึงโฮมสเตย์ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงจากอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ชาวชุมชนโคกเมืองต้อนรับพวกเรากับพวงดอกไม้ที่ร้อยอย่างเรียบง่ายและเชิญชวนให้พวกเราให้ไปรวมตัวกันที่บริเวณศูนย์การเรียนรู้ชมชุนเพื่อพบปะกับชาวชุมชนโคกเมือง และชี้แจงเรื่องการเข้าพักโฮมสเตย์ ให้เจ้าของบ้านพบปะกับแขกซึ่งจะะเข้าพักตามบ้านต่างๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 15 หลัง ครั้งนี้พวกเราพักกันสี่คนในบ้านหลังเดียวซึ่งภายในบ้านจัดแจงให้พักสองห้อง จากนั้นก็แยกย้ายไปเก็บของเพื่อตอนเย็นมารวมตัวกันกินมื้อเย็นที่ศูนย์ชุมชนอีกครั้ง เย็นค่ำทุกคนก็มารวมตัวที่ศูนย์ชุมชนอีกครั้งเพื่อทำการบายศรีสู่ขวัญซึ่งจะทำในช่วงเวลาสำคัญของชุมชน ครานี้เพื่อต้อนรับพวกเราที่เป็นแขก หมอทำขวัญเป็นคนทำพิธี ปู่ยาตายายของหมู่บ้านมารวมตัวกัน นั่งล้อมวงพวกเราเอาไว้ถัดไปเป็นในวงของสายสิญจน์ ก่อนเสร็จพิธีหมอนำขวัญก็พรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นพวกเราก็เข้าไปหาปู่ย่า ตายยายผูกข้อมือให้พร้อมกับให้พรพวกเราจนทำให้อิ่มความสุขก่อนที่จะอิ่มข้าวในมื้อเย็นเสียอีก ไม่นานหลังจากนั้นมื้อเย็นถูกจัดแจงขึ้น เมนูเด็ดๆอยู่ในถาด ชาวบ้านบอกกับเราว่าแต่ละอย่างเป็นของที่หาได้จากชุมชน น้อยมากที่จะเอามจากภายนอก อีกทั้งยังเป็นเมนูพื้นบ้านที่หน้าตาชวนลองอย่าง กุ้งจ่อม มองเผินๆแล้วคล้ายคั่วกลิ้ง แต่ทำมาจากกุ้งนางตัวเล็กๆ คำว่าจ่อมเป็นภาษาอีสาน แปลว่าดอง การดองจะใช้น้ำปลาดองไว้ 2 วันแล้วค่อยใส่ข้าวคั่ว เก็บไว้อีก3 คืนก็ใช้ได้ จากนั้นนำมาปรุงจนได้กุ้งจ่อมรสเด็ด นอกจากนี้ยังมีปลาส้มที่ส่งกลิ่นหอมๆชวนน้ำลายสออ ปลาส้มผ่านการหมักด้วยเกลือ กระเทียม ข้าวสุกจนเปรี้ยว ก่อนทอดชุบไข่จะได้ปลาส้มจะได้รสสัมผัสที่ดีขึ้น และที่พิเศษสุดคือ ยำไข่มดแดง ของกินระดับเหลาของอีสานหาได้เฉพาะในช่วงหน้าร้อนและกว่าจะได้ต้องก็ยากลำบากพอสมควร ยิ่งกินกับข้าวสวยที่ชาวบ้านเรียกว่า ข้าวภูเขาไฟ ซึ่งเป็นข้าวเจ้าที่นุ่มลิ้น ทำให้มื้อนี้เล่นเอาอิ่มจนลุกไม่ขึ้นเลย เสร็จจากมื้อเย็น ชาวบ้านก็แจงเรื่องว่ากิจกรรมในวันพรุ่งนี้มีกิจกรรมไรบ้าง จะพาพวกเราไปดูที่มาของอาหารในวันนี้ว่าทำมาจากไหนกัน วันรุ่งขึ้นตื่นไปรอตักบาตรที่หน้าบ้านโฮมเสตย์และแวะไปดูปราสาทเมืองต่ำที่อยู่ไม่ไกล ความเงียบงามของที่นี้ในตอนเช้าเป็นบรรยากาศที่น่าเดินชม จากนั้นเดินไปยังตลาดที่อยู่ในหมู่บ้าน ตลาดเล็กๆ ที่คึกคัก ชาวบ้านจะนำของที่ปลูกที่บ้านมาขาย เช่นฟักเขียว ฟักทอง หรือผักพื้นบ้านชนิดอื่น ติดตลอดกันตั้งแต่ 06.00 -08.00 น. ก็หมดแล้ว พวกเรากลับไปกินข้าวเช้าที่บ้านโฮมสเตย์ ฝากท้องกับน้ำพริกปลาร้าและผัดสด ซึ่งปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี จากนั้นก็ได้เวลาไปตะเวนทำกิจกรรภายในหมู่บ้านอย่างที่ชาวบ้านสัญญากันไว้ เริ่มจากกลุ่มทอผ้าไหม แม้ที่นี้อาชีพหลักคือการปลูกข้าว แต่เมื่อว่างเว้นจาการทำนาจะมาเลี้ยงไหม ทอผ้ากัน สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ยามีการอนุรักษ์ลวดลายเก่าที่เป็นเอกลักษณ์อย่างลายผักกูด พัฒนาลวดลายใหม่ส่งเสริมการท่องเที่ยว พวกเราเรียนรู้ตั้งแต่วิธีการย้อมเส้นไหมที่ต้องต้มให้น้ำสีเข้าไปจนถึงการทอที่ต้องความปราณีต เสร็จก็แวะไปชมสินค้าโอทอปที่ร้านจำหน่ายของชุมชน ก่อนไปชมฐานเรียนรู้การทำข้าวภูเขาไฟเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยมของบ้านโคกเมือง อย่างที่รู้กันบริเวณจังหวัดบุรีรัมย์มีภูเขาไฟอยู่หลายลูก ที่อำเภอประโคนชัยก็เขตพื้นที่ภูเขาไฟ พื้นดินมีแร่ธาตุที่ทำให้ข้าวเติบโตดีและในเม็ดข้าวยังอุดมไปด้วยสารอาหารอย่าง กาบา, ไนอะซิน, วิตามินบี แถมยังให้ใยอาหารสูง แต่ละปีปลูกได้ครั้งเดียว ชาวบ้านจะเกี่ยวและนำมาขัดสีเองภายในชุมชน บรรจุถุงจำหน่ายเป็นสินค้าโอทอปที่ส่งวางขายในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ต่อจากนั้นไปฐานทำเสื่อกก เป็นสินค้าโอท็อปอีกชึ้นหนึ่งที่ขึ้นชื่อ ทำมาจากกกราชินีที่ปลูกในท้องถิ่น ผ่านกรรมวิธีการทอที่ต้องใช้ภูมิปัญญาในเรื่องการทอผ้าเข้ามาช่วยคิดลวดลายเพิ่มเติม เสร็จจากฐานทอเสื่อกกก็ไปฐานการเรียนรู้สมุนไพรมหัศจรรย์ ที่นี้มีทำชารางจืดและผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่นๆด้วย บ้านโคกเมือง เป็นโอมสเตย์ที่สนุกและมีกิจกรรมให้ทำเยอะ ทั้งภายในหมู่บ้านสามารถเดินเที่ยว ปั่นจักรยานได้ >>> ค่าที่พักคนละ160 บาท/คืน >>> ค่าอาหารคนละ 95 บาท/มื้อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม นางส้มเกลี้ยง สืบวัน ประธานโฮมสเตย์ โทร. 0-4466-2478, 08-1629-3214 นางนงนุตร์ เรืองจำรัล 08-2152-7280