เมื่อปีที่ผ่านมา "นายรอบรู้" ได้มีโอกาสไปที่บ้านตากลาง ต. กระโพ อ. ท่าตูม จ. สุรินทร์ อันเป็นที่ตั้งชุมชนชาวกูยผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้านภาษาพูดและวิถีชีวิตซึ่งอยู่ร่วมกับช้างมาช้านาน มีงานบุญสำคัญงานหนึ่ง คือ งานบวชนาคแห่ช้าง ที่เมื่อใกล้วันวิสาขบูชา ชาวกูยจะนำช้างที่ตนพาออกไปหากินต่างถิ่นกลับมายังภูมิลำเนาเพื่อร่วมงานนี้ ให้ช้างซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวได้เข้าร่วมด้วย พวกเราจึงมุ่งหน้าไปยังจังหวัดสุรินทร์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ)เมื่อถึง อ. คิ้วใช้เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 24 ขับเรื่อยจนถึงแยกเข้าตัวเมืองสุรินทร์นั้นคือทางหลวงหมายเลข 214 ขับไปจนถึง อ. ท่าตูม จะมีป้ายบอกเส้นทางไปยังบ้านตากลางความสนใจใฝ่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของผู้คน พาให้พวกเราปักหมุดจุดหมายการเดินทางไว้ที่บ้านตากลางแห่งนี้หมู่บ้านตากลาง ชุมชนชาวกูย สภาพหมู่บ้านตากลางเหมือนหมู่บ้านทั่วไปในภาคอีสาน หากแต่เมื่อเดินเข้าไป ได้ยินได้ฟังสำเนียงภาษาชาวบ้านพูดคุยกันกลับคล้ายภาษาเขมร ต่างจากถิ่นอีสานอื่นที่มักใช้ภาษาลาว ชาวบ้านตากลางมีบรรพบุรุษเป็นชาวกูยหรือกวย หรือส่วยกลุ่มหนึ่งที่อพยพจากตอนล่างของเมืองจำปาศักดิ์ในลาวและตอนเหนือของเมืองกำปงธมในกัมพูชามาตั้งรกรากอยู่ในภาคอีสานตอนใต้ตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยอยู่ใน จ. สุรินทร์มากที่สุด ชาวกูยเป็นกลุ่มชนเลี้ยงช้าง จึงเลือกตั้งบ้านเรือนบริเวณใกล้ป่าที่เป็นแหล่งอาหาร ทั้งใกล้แหล่งน้ำเพื่อให้ทั้งคนและช้างใช้ดื่มกินได้สะดวก หมู่บ้านตากลางมีบริเวณที่เรียกว่า "วังทะลุ" ที่แม่น้ำ 2สายคือแม่น้ำชีกับลำน้ำมูนไหลมาบรรจบกัน เป็นแหล่งน้ำท่าอันอุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้ป่าในบริเวณนี้เป็นป่าดิบ เป็นแหล่งหาของป่าและเหมาะแก่การอยู่อาศัยของช้าง ตามประวัติศาสตร์ชาวกูยมีความสามารถในการคล้องช้างป่า ฝึกหัด และเลี้ยงช้าง ผู้ชายชาวกูยจะได้รับการถ่ายทอดวิธีจับช้างป่ามาเลี้ยงเป็นช้างบ้านไว้ใช้งาน โดยเริ่มจากฝึกเป็นควาญมะ เรียนรู้วิธีและกฎระเบียบต่างๆ ในการจับช้าง เมื่อมีความชำนาญจึงเลื่อนขึ้นเป็นควาญจา หมอเสดียง หมอสดำ ตามลำดับ กระทั่งถึงตำแหน่งใหญ่สุดคือครูบาหรือปะกำหลวง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของทุกคนในหมู่บ้าน ในอดีตครูบามีหน้าที่สำคัญคือเป็นผู้นำชายชาวกูยออกโพนช้างหรือคล้องช้างปีละครั้งในฤดูฝนบริเวณป่าดิบทางเหนือของกัมพูชา ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 เกิดปัญหาตามแนวชายแดน การคล้องช้างของชาวกูยจึงยุติลง แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเลี้ยงช้างและฝึกช้างเพราะถือเป็นสิ่งปฏิบัติสืบทอดกันมา ช้างเปรียบเสมือนตัวแทนบรรพบุรุษ ชาวกูยจึงปฏิบัติต่อช้างเฉกเช่นเดียวกับปฏิบัติต่อบรรพบุรุษ เช่นช้างที่ล้มหรือตายไปแล้วจะถูกฝังอย่างดี และต่อมาอีกราว 3 ปีพวกเขาก็จะขุดกระดูกช้างนั้นขึ้นมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ชาวกูยถือว่าการปฏิบัติต่อช้างอย่างถูกต้องตามประเพณีจะเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวของตนร่วมงานประเพณีบวชนาคแห่ช้าง พวกเรามาถึงบริเวณวัดแจ้งสว่าง วัดประจำหมู่บ้านตากลาง อันเป็นสถานที่จัดงานบวชนาคแห่ช้าง ภายในวัดคลาคล่ำด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ตั้งใจมาร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ พ่อใหญ่แม่ใหญ่หลายคนนั่งถือพานธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้รอฤกษ์งามยามดีที่จะได้ร่วมทำพิธีปลงผมลูกหลานตนเอง สักครู่บรรดาชายหนุ่มที่สมัครใจเข้าร่วมพิธีอุปสมบทก็เริ่มทยอยเข้ามานั่งตามเก้าอี้ที่ทางวัดจัดไว้"เก้าโมงเซ้า ได้ฤกษ์โกนหัวแล้วเด้อ" โฆษกประกาศออกเสียงตามสายชาวบ้านทั่วทุกสารทิศต่างเคลื่อนเข้าสู่วัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนดูแน่นขนัด"ปีนี้บวชกันน้อย สู้ปีที่แล้วไม่ได้ดอก...เยอะกว่านี้อีกนะหนู" คุณลุงกล่าวยิ้มแย้มกับคนแปลกหน้าอย่างพวกเราซึ่งยืนดูด้วยความสนใจ มีนาคราว 20 คน ก่อนเริ่มพิธีปลงผม นาคจะนั่งลงกราบเท้าผู้มีพระคุณ ขอขมาลาโทษที่ตนเคยล่วงเกิน พ่อแม่บางคนน้ำตาไหลปลื้มอกปลื้มใจที่เห็นลูกชายได้อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ จากนั้นเจ้าอาวาสขริบผมของนาคทุกคนพอเป็นพิธี ก่อนจะให้พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาได้เดินขริบผมตามๆ กันมาภาพมารดาของนาคเอื้อมมือแตะพานในมือนาคขณะพระสงฆ์ปลงผมให้ แล้วบรรดาญาติซึ่งนั่งล้อมนาคไว้ก็เอื้อมมือแตะหลังผู้เป็นมารดาและแตะต่อกันไปเป็นทอดๆ นั้น ทำให้พวกเราอดอมยิ้มด้วยสุขใจไปด้วยไม่ได้ พอคล้อยบ่ายก็ถึงพิธีกรรมสำคัญ คือพิธีทำขวัญนาคแบบชาวกูย บรรดานาคแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงาม แฝงนัยเรื่องนาคที่ปลอมตัวมาบวชเมื่อครั้งพุทธกาลด้วยการสวมกระโจมหรือชฎาที่มียอดเป็นหยักแหลมคล้ายพังพานนาค ข้างหูทั้งสองข้างเหน็บฝ้ายหรือสำลีไว้ด้วย เพื่อเตือนสติว่าตนกำลังเข้าสู่เพศที่สูงศักดิ์กว่าปุถุชนทั้งปวง จงอย่าได้หูเบาเหมือนฝ้ายเวลาที่ถูกลมพัด จงหนักแน่นดั่งหินผา ตั้งสติให้มั่นคง อย่าได้อ่อนไหวไปตามลมปากผู้อื่น ส่วนผ้าเจ็ดสีที่นาคนุ่งก็เปรียบเสมือนรุ้งเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง ผู้มีบุญวาสนาเท่านั้นที่ได้ห่มครอง นอกจากนี้นาคยังสวมเครื่องประดับแก้วแหวนเงินทองอีกมากมาย ทั้งนี้เพื่อให้นาครู้ตนว่ากำลังจะเข้าสู่เพศบรรพชิต ควรรู้จักละปลงเรื่องทางโลก จากนั้นไม่นานหมอพราหมณ์ก็เริ่มทำพิธีบายศรีสู่ขวัญนาคด้วยบทสวดภาษาส่วย พวกเรานั่งพนมมือไปพร้อมกับพี่น้องชาวกูย เสียงสวดทำให้เราสงบนิ่ง เนื้อหาของบทสวดเป็นการเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อหมอพราหมณ์ทำพิธีเสร็จก็ผูกด้ายสายสิญจน์ที่ข้อมือนาคเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนแยกย้ายกันไปเตรียมงานบวชที่จะมีขึ้นในวันพรุ่ง เช้าวันที่ 2 ระหว่างทางไปวัด พวกเราสังเกตเห็นแต่ละบ้านที่บวชนาคนั้นตกแต่งช้างของตนอย่างสวยงาม โดยเขียนเส้นร่างขึ้นก่อนใช้ขมิ้นทาตามเส้นนั้นจนเป็นรูปร่างลวดลายขึ้นมา พวกเราได้รับคำเชื้อเชิญจากควาญช้างให้ช่วยออกแบบเขียนลายลงบนตัวช้างด้วย"เดี๋ยวจะเขียนให้สวยๆ เลยนะ" เจ้าช้างก็เหมือนจะรู้หน้าที่ของมันเป็นอย่างดี ยืนนิ่งให้พวกเราแต่งแต้มสีสันบนตัวมันจนเสร็จ ยอมรับเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้สัมผัสช้างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ พวกเราเหลือบดูนาฬิกาเวลาเที่ยงตรง ขบวนแห่นาคของแต่ละหมู่บ้านใกล้จะมารวมตัวกันที่วัดแจ้งสว่างแล้ว พวกเราจึงพากันเข้าไปยังบริเวณวัดเพื่อรอดูขบวนแห่ว่าจะมีสีสันสวยงามเพียงใดบรรยากาศภายในวัดดูคึกคัก ผู้คนเดินขวักไขว่ ร้านรวงเปิดเพลงเสียงดังอึกทึกสนั่นหวั่นไหวขบวนแห่นาคเริ่มเคลื่อนเข้าสู่เขตวัดมาอย่างต่อเนื่อง เสียงเครื่องดนตรีที่แต่ละหมู่บ้านขนกันมาบรรเลงแม้จะทวีความอึกทึกกระทั่งแทบคุยกันไม่รู้เรื่อง ทว่านั่นก็สร้างความสนุกสนานให้หลายๆ ชีวิตในบริเวณนั้นลุกขึ้นเต้นตามจังหวะเสียงเพลง ไม่เว้นแม้แต่เจ้าช้างน้อยที่โยกย้ายส่ายหัวเข้าจังหวะดนตรีด้วยตะไลและลูกหนูถูกจุดพุ่งขึ้นท้องฟ้าเสียงดังเฟี้ยวฟ้าวเป็นระยะๆ เพิ่มความครึกครื้นได้ไม่น้อย และที่สร้างความครื้นเครงไม่น้อยหน้ากันก็คือสำบัดสำนวนแสบๆ กวนๆ ที่เขียนกันบนตัวช้าง อย่างเช่น "เมียสั่งบวช" หรือ "บวชแบบกะทันหัน" กระทั่ง "แม่จ๋าขอเมียให้หน่อย"ก็มีให้ขำกัน เมื่อขบวนแห่นาคมาพร้อมกันที่วัดครบทุกขบวนแล้ว ก็พากันเดินแห่ไปตามถนนไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ช้างร่วม 50 เชือกซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างโอฬารตระการตา เดินแห่ไปตามถนนผ่านท้องทุ่งนาสองข้างทางทอดยาวกว่า 2 กิโลเมตรการมีโอกาสเดินร่วมไปกับขบวนแห่นาคนี้ทำให้พวกเราได้รู้ว่า เหตุที่พี่น้องชาวกูยนับร้อยไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแม้จะต้องเดินกลางแดดร้อนระอุมุ่งไปสู่วังทะลุ ที่ซึ่งแม่น้ำชีไหลมาสบกับลำน้ำมูนนั้น ก็เพราะพวกเขามีจิตใจตั้งมั่นที่จะไปเพื่อบอกกล่าวและขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในหมู่บ้านเคารพนับถือซึ่งสิงสถิต ณ ศาลปู่ตาวังทะลุ เมื่อไปถึงศาลปู่ตา พ่อหมอช้างอาวุโสก็เริ่มทำพิธีบอกกล่าว ว่าพรุ่งนี้ลูกหลานชาวกูยจะเข้าพิธีอุปสมบท ขอให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อย่าได้มีอุปสรรคใดๆ จากนั้นพ่อแม่ของนาคก็นำอาหารคาวหวาน ธูปเทียนดอกไม้ น้ำส้ม น้ำ และเหล้ามาเซ่นไหว้ เสร็จพิธี หมอช้างเป่า "สแนงเกล"--เครื่องเป่าที่ทำจากเขาควาย 3 ครั้งเป็นสัญญาณ และถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเข้าพิธีบวชในวันรุ่งขึ้นสายสัมพันธ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ชาวกูยและช้าง แม้พวกเราจะมีโอกาสได้สัมผัสงานบุญบวชนาคแห่ช้างของชาวกูยแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็อิ่มอกอิ่มใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ -- ความผูกพันของชาวกูยกับช้าง การอนุรักษ์จารีตประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น รวมถึงการเลี้ยงดูแลช้างเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว อันเป็นวิถีที่ยึดถือปฏิบัติต่อเนื่องมายาวนานหลายชั่วอายุคน สอบถามข้อมูลได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประทศไทย สำนักงานสุรินทร์ โทร. 0-4457-447-8 หรือ อบจ. สุรินทร์ 0-4451-1975