เ ข า ช้ า ง เ ผื อ ก - ในสายหมอกการเดินทางผ่านสายหมอก เพื่อพิชิตยอดเขาสูงกว่าหนึ่งพันสองร้อยเมตร" เ ข า ช้ า ง เ ผื อ ก - อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ "อย่างที่ใคร ๆ เขาว่ากัน ยากสุดของการมาเขาช้างเผือกก็คือการโทรจองให้ติด ถ้าติดก็อย่าให้เต็ม ถ้าจองได้แล้วที่เหลือก็ใจล้วน ๆไม่รู้ว่าจะเรียกทริปนี้ว่าเป็นทริปที่โชคร้ายหรือโชคดี หรือจะร้ายในดีก็ได้มั้ง เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่าจุดเริ่มต้นจากการที่เพื่อนอยากไป แต่ไอเราไม่ได้มีประสบการณ์ในการเดินเขาเลยจะไหวมั้ยเนี่ย แต่ด้วยเป็นคนใจง่ายใครชวนไปไหนก็ไป เอาไงก็เอาวะติดตามข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเขากันได้ที่ Facebook ของอุทยานฯ เลยนะคะ? https://bit.ly/2TMIyQL ทางอุทยานฯ จะเปิดให้ขึ้นเขาช่วงประมาณปลายปี รอติดตามประกาศได้เลยค่ะเตรียมแพลนไว้ว่าอยากขึ้นเขาวันไหน ในทริปของเราเลือกไว้คือวันที่ 30 ธันวาคม 2561 เป็นทริปสิ้นปีทีเดียวล่ะ มาลุ้นกันว่าจะมีที่นอนกันไหม ฮ่าๆ ต้องเล่าย้อนกลับไปก่อนเลยว่า เมื่อประมาณสองปีที่แล้วเรากับเพื่อนเคยมาเที่ยว บ้านอีต่อง อ.ปิล็อก กันครั้งนึงแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้มีแพลนจองขึ้นเขาช้างเผือกนะ แต่เป็นทริปสิ้นปีเหมือนกัน ทริปเร่งด่วน ทริปคิดคืนเดียว ทริปยังไม่มีที่นอน ทริปทุกอย่างไปหาเอาข้างหน้า เพียงเพราะแค่มีเพื่อนอยากไปหา "เขา" แน่นอนว่าที่พักทุกที่เต็มหมดแล้ว แล้วคืนนี้เราจะนอนไหนวะ? และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นความสนุกของทริปนั้นกลับมาทริปเขาช้างเผือกของเราดีกว่า7 วันก่อนวันที่เราเลือกขึ้นเขากัน เช้าของวันนั้นเสียงข้อความไลน์เด้งรัวๆ พออ่านคร่าวๆ ได้ว่าโทรไม่ติดเลยสายไม่ว่าง ในขณะที่เพื่อนขมักเขม้นกันโทรจอง อินี่พึ่งตื่นจ้า ฮ่าๆ เพื่อนหายกันไปสักพัก ประมาณ 9 โมงกว่าๆ มีเสียงไลน์เด้งมาว่า "โทรได้แล้ว" เพื่อนคนเดียวโทรไปประมาณ 140 กว่าสายได้ สายไหม้กันไปจ้าเมื่อโทรติดแล้วเราต้องแจ้งชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชนของทุกคนทันทีนะคะ เราต้องเตรียมข้อมูลของเพื่อนไว้ให้พร้อมก่อนเลย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราส่งเอกสารสำเนาบัตรประชาชนของทุกคนภายใน 1 วัน ทาง E-mail : thongphaphumoffice@gmail.com เอาล่ะจองเรียบร้อยแล้วสบายใจไปนอนต่อได้ เย่! กาญจนบุรีไกลมากกกกกกกเราต้องเดินทางไปอำเภอทองผาภูมิ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จนกว่าจะเดินทางไปถึงอำเภอทองผาภูมิใช้เวลาเป็นวันๆ เลย ทำให้เราไม่ทันรถสองแถวที่ขึ้นไปอุทยานฯ เราจึงจำเป็นต้องพักที่ตลาดทองผาภูมิ 1 คืน ก่อนเดินทางไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิในเช้าวันถัดไป เราได้ทำการจองที่พักล่วงหน้าไว้ที่ ทองผาภูมิเพลส Facebook ? https://bit.ly/2VALgJ7 ตั้งอยู่ตรงตลาดทองผาภูมิ อยู่ทางด้านหลังของ 7-11 ซึ่งเป็นจุดที่เราจะมาขึ้นสองแถวไปอุทยานฯ ตอนโทรไปจองคือเหลือเพียง 1 ห้อง เท่านั้นเป็นห้อง Standard Family (สำหรับ 4 ท่าน) แต่เรามี 5 คน เลยเสริมเตียงปิคนิกให้ ในราคา 1600 + เตียงเสริม 200 = 1800 บาทคืนแรกมีที่นอนแล้วนะสบาย ๆ ส่วนคืนที่เหลือ ไปกางเต๊นท์กันเอาละกันเช้าวันแรกของการเดินทาง Day 1ณ หมอชิต 2 ฝั่งวินรถตู้ ตรงไปที่อาคาร D กันเลย เพื่อมุ่งหน้าสู่ บสข. กาญฯ ค่ารถตู้คนละ 120 บาท ใช้เวลาไม่นานนัก เราก็เดินทางมาถึง บสข. กาญฯ กันเป็นที่เรียบร้อยแนะนำให้หาข้าวกินและเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อย แถวนั้นมีร้านอาหารให้เลือกหลายร้านเดินทางต่อไปที่ตลาดทองผาภูมิ มีให้เลือกทั้งรถบัสประจำทางหวานเย็น จอดรออยู่ตรงข้างห้องน้ำเลย เขียนว่าทองผาภูมิหรือไม่ก็สังขละบุรี และยังมีคิวรถตู้ที่อยู่อีกฟากถนนหนึ่ง ซึ่งคนคูลๆ อย่างเราน้านนน กระโดดขึ้นรถเมล์หวานเย็นไปเลยจ้าา ไม่ใช่อะไรคนรอคิวรถตู้เยอะม๊ากกก ไปรถเมล์กันก็ได้ ซึ่งจะใช้เวลา 4 - 5 ชั่วโมงกันเลยทีเดียวกว่าจะถึงตลาดทองผาภูมิ ในราคา ราคา 80 บาท หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึงสักที นี่แหละที่บอกว่ากาญจนบุรีไกลมากกกกกเกือบๆเย็นแล้วเราก็มาถึงตลาดทองผาภูมิ ไปเช็คอินที่พักกันเล้ยย นั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วออกไปกินข้าวกันบรรยากาศโดยรอบดีมาก อากาศเย็น ๆ สบาย ๆเราเคยรีวิวเที่ยว บ้านอีต่อง เหมืองปิล็อกไว้แล้ว ที่ลิงค์นี้เลยค่า ? กางเต๊นท์นอนชิว ชมวิวกันที่บ้านอีต่อง เหมืองปิล็อกการเดินทางเหมือนกันเลยค่ะ แต่ทริปนี้เรา Advance ไปมากกว่านั้น รับรองว่าสนุกและตื่นเต้นมากกว่าเดิมเตรียมตัวสำหรับเดินทางต่อ Day 2ตรงจุดขึ้นรถสองแถวสีเหลืองเพื่อมุ่งหน้าไปยังอุทยานฯ ก็ไปทานข้าวเช้ากันก่อนมีร้านขายอาหารตามสั่งอยู่ตรงนั้น ดูคันที่ไปอุทยานฯ - บ้านอีต่องนะ จะมีเวลารถออกติดอยู่ที่ร้านข้าวเลย ราคาก็คนละ 70 บาท รถสองแถวจะไปจอดส่งที่หน้าอุทยานฯ สำหรับคนลงที่นี่ แล้วจึงขับไปต่อปลายทางที่หมู่บ้านอีต่องแต่พวกเราเลือกที่จะเหมารถขึ้นไปติดต่อได้ที่ร้านข้าวนั้นเลย คุณลุงจะถอดเอี๊ยมแล้วคว้ากุญแจขับไปให้เลย ฮ่าๆ ในราคา 1500 บาท ที่เราเลือกเหมารถเพราะด้วยสัมภาระของเราเอง ต้องเตรียมน้ำไปหลายแพ็ค ของกิน และอีกอย่างอยากนั่งรถสบายๆ แล้วขึ้นไปถึงเร็วๆ ก็เลยเลือกวิธีนี้ในการเดินทางค่ะทางอุทยานฯ จะให้เราลงทะเบียนขึ้นเขาช้างเผือก ตรงที่ทำการอุทยานฯ ตั้งแต่ตอนรุ่งเช้า จนถึงเวลาก่อนแปดโมง แล้วจึงเดินทางไปยังบ้านอีต่อง จุดสตาร์ทของการเดินเขาในครั้งนี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องค้างที่อุทยานฯ ในคืนนั้น หน้าทางเข้าอุทยานฯ เราต้องเสียค่าเข้าอุทยานฯ ค่าขึ้นเขาช้างเผือก ค่ากางเต๊นท์ที่อุทยานฯ เบ็ดเสร็จแล้วคนละ 100 บาท เราจะได้ตั๋วมาสองชุด สำหรับสองวัน ก็คือวันนี้ที่เข้าพักที่อุทยานฯ และสำหรับวันถัดไปในการไปขึ้นเขาช้างเผือก เก็บให้ดีอย่าให้หายนะคะ ตั๋วนี้เราสามารถนำไปเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่นได้ด้วยโดยไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าเพิ่มอีกเข้ามาในอุทยานฯ แล้วก็ไปที่ทำการอุทยานเพื่อเช่าเต๊นท์ ผ้าห่ม ผ้าปูนอนให้เรียบร้อย แล้วก็ไปจับจองที่สำหรับกางเต๊นท์กันค่ะ เราขอให้คุณลุงที่เราเหมารถมาไปส่งเราที่บ้านอีต่อง เพราะเรายังมีเวลาไปเที่ยวและหาซื้อของที่จำเป็นเพิ่มเติมลานกางเต๊นท์คืนนี้ ที่อุทยานฯเตรียมตัวพักผ่อนเก็บแรงสำหรับเดินทางในวันพรุ่งนี้ เมื่อช่วงบ่ายฝนตกหนักเลย เราก็ได้แต่ภาวนาขอให้หยุดสักที ไม่นานฝนก็หยุดลง แต่ช่วงหัวค่ำฝนก็ได้ตกลงมาอีกแต่รอบนี้เพียงแค่ตกปรอย ๆ เท่านั้น เราเข้านอนด้วยความหวังว่าคืนนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่แล้วววว?ฝันนั้นก็สลาย ไปในพริบตา เมื่อฝนนั้นเทลงมา ? เทลงมาอย่างแรง คิดไปต่างๆ นานาว่าทางเละบ้าง ฟ้าปิดหมอกบังบ้าง ถ้าพรุ่งนี้ขึ้นไม่ได้บ้าง จะทำยังไงกันดี แต่ก็ยังทำอะไรได้ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนค่อยว่ากัน พลางแต่นึกถึงกลุ่มที่ขึ้นเขาวันนี้ ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง หลับตาลงท่ามกลางสายฝนที่ยังไม่หยุดตกเราสะดุ้งตื่นมากลางดึก รู้สึกตัวอีกทีคือหลังเราเปียกแล้ว แกเต๊นท์เรารั่วเว้ยแก! ไม่รู้ว่ารั่วตรงไหนยังไง แต่ผ้าที่ปูนอนเปียกไปหมด เปียกจนซึมมาถึงหลัง ตื่นเพราะหลังเปียกนี่แหละ จะขยับไปทางไหนก็ไม่ได้ จะนอนต่อก็ไม่ได้แล้วเช่นกัน เลยตะโกนหาเพื่อนที่นอนเต๊นท์ข้างๆ ว่า "มึงงงง เต๊นท์กูน้ำท่วม!" เพื่อนเล่าให้ฟังว่า กูเรียกมึงแล้วว่าเต๊นท์เป็นยังไงบ้างเพราะของกูก็น้ำเข้าเหมือนกัน แต่มึงไม่ตื่น เลยคิดว่าไม่เป็นไร ฮ่าๆ สุดท้ายพวกเรา 5 คนก็ไปนอนอัดกันในเต๊นท์เดียว ซึ่งเต๊นท์นั้นเป็นเต๊นท์สำหรับ 3 คน ที่นอนกัน 3 คนก็เต็มพอดีแล้ว นี่ไปนอนอัดกัน 5 คน เอาสิขยับไปไหนไม่ได้เลย ได้แต่นอนนิ่งๆ แข็งๆ รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็วๆเกือบๆ หกโมงเช้าแล้ว พวกเราลุกขึ้นแล้วพากันเดินไปที่ทำการอุทยานฯ ในขณะที่ยังมีฝนตกปรอยๆ เจ้าหน้าที่เปิดให้ลงทะเบียนแล้ว ทำการกรอกเอกสาร จ่ายค่าเจ้าหน้าที่นำทาง อันนี้จำราคาไม่ได้และไม่แน่นอนค่ะ ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ขึ้นเขาวันนั้นด้วยจ่ายไปก่อนถ้าเกินเจ้าหน้าที่จะคืนให้วันกลับลงมาค่ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วเราก็กลับมา อาบน้ำ แปรงฟันให้เรียบร้อยแนะนำให้ทำธุระหนักให้เสร็จนะคะ ถ้าไปปวดกลางทาง หรือบนเขานู้นจะลำบากเอา เก็บข้าวของ เก็บเต๊นท์ให้เรียบร้อยเตรียมขนไปขึ้นเขากันเล้ยยย เราต้องไปถึงบ้านอีต่องจุดนัดพบตามเวลาที่เจ้าหน้าที่นัด ถ้ากลุ่มไหนไปถึงก่อนก็สามารถขึ้นได้เลยไม่ต้องรอครบทั้งหมดของวันนี้และจะมีพี่ทหารประจำกลุ่มละ 1 นายเอาล่ะ!เตรียมตัวเป็นสายย่อ สายโบกกันได้เลยนะคะ สำหรับคนไม่มีรถส่วนตัวมาเอง ทางอุทยานฯไม่ได้มีรถให้บริการนะคะ เดินออกมาดักรอรถที่กำลังจะขึ้นไปบ้านอีต่อง กระบะคันไหนมาลองโบกได้เลยค่ะ ไปบ้านอีต่องกันทุกคัน ยืนรอ นั่งรออยู่นานเหมือนกันกว่าจะได้รถ พี่ผู้ชายใจดีมากับครอบครัว เป็นคนกาญฯ แต่ไม่เคยมาเที่ยวบ้านบ้านอีต่อง ให้พวกเราติดรถขึ้นไปด้วย นั่งผ่านโค้งมานับร้อยก็มาถึงแล้ว รีบตรงไปศาลาจุดที่จ้างลูกหาบ ลูกหาบ 1 คน จะแบกน้ำหนัก 30 กิโลกรัม โดยค่าจ้างลูกหาบ 1 คน อยู่ที่ 1500 บาท เรา 5 คนจ้างลูกหาบทั้งหมด 2 คนค่ะ ของหนักมากก ฮ่าๆสิ่งของที่เราเตรียมไปขึ้นเขาน้ำแพ็คขวดใหญ่ 2 แพ็คน้ำแพ็คขวดเล็ก 1 แพ็คมาม่ารสหมูสับคนละ 1 ห่อปลากระป๋องถ้วย+จานกระดาษขนมปัง+นมข้นหวาน และของกินอื่น ๆ ที่ติดตัวไปแก๊สกระป๋องหม้อต้มน้ำทิชชู่เปียกกระดาษทิชชู่ยาประจำตัวยานวด- - - - - - - - - - - - - - -อันนี้สำหรับพกไว้ระหว่างเดินยาดม+พัดหมวกน้ำขวดเล็กคนละ 2 ขวดและอื่น ๆ เท่าที่จำเป็นนะคะ ที่เหลือให้ลูกหาบไปเลยค่าาาข้าวเหนียวหมูปิ้งร้อน ๆ ไว้กินระหว่างเดินค่ะ หรือจะซื้อไว้กินตอนจุดพักก็ได้พร้อมแล้วไปกันเล้ยยยเดินมาก็หลายกิโลอยู่ เอ้าพึ่งถึงจุดเริ่มต้น ฮ่าๆเส้นทางที่ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยสายหมอกจะเรียกทริปปนี้ว่าเป็นทริปที่โชคร้ายหรือโชคดีหรือจะร้ายในดีก็ได้มั้ง จากที่บอกว่าเมื่อคืนกลัวมากว่าเส้นทางจะเดินไม่ได้แต่พอถึงเวลาขึ้นเขาจริงทางไม่ได้เละเทะเลย แค่เป็นดินชื้นๆ มีลื่นบ้างนิดหน่อย แต่มีเจ้าหมอกขาวนี่สิปกคลุมตลอดทั้งการเดินทางแทบมองไม่เห็นวิวอะไรเลย ภาวนาอย่างเดียวว่าขึ้นไปถึงแล้วขอให้ฟ้าเปิด แต่ที่บอกว่ามีความโชคดีอยู่นั้น คืออากาศที่ไม่ร้อนเลยเย็นสบายตลอดทาง ลบทุกรีวิวความร้อนที่เคยอ่านเจอมาทิ้งไปได้ สัมผัสสายหมอกตลอดทาง ทำให้ร่างกายไม่ต้องสูญเสียน้ำเยอะแต่อย่างที่บอกว่าแลกมากับวิวข้างทางที่มองไม่ค่อยเห็นนะ ฮ่าๆ ส่วนในเรื่องของเส้นทางเดินน่าจะส่วนหนึ่งมาจากอากาศที่ไม่ร้อนด้วยมั้งเลยรู้สึกว่าเดินง่าย ขึ้นเขา ลงเขา ง่ายบ้างชันบ้างสลับกันไป แต่ช่วงชึ้นก็เล่นเอาหอบหายใจแรงอยู่เหมือนกัน ทำให้นึกถึงพี่ๆ ลูกหาบตลอดเลย ว่าสุดยอดจริงๆ แบกของหนักว่า 30 กิโลกรัม เดินกันได้อย่างสบายๆ แถมยังเดินเร็วกว่าเราที่เดินตัวปลิวด้วยนะ ตลอดเส้นทางจะมีจุดแวะพัก ซึ่งมีการตั้งชื่อเป็นชื่อเขาต่างๆ ส้าน, คะเนียง, หุบกะเหรี่ยง, หุบชะนี, เขาชะมด, ดงไผ่, เขาช้างน้อย, เขาลูกช้าง เขาลูกสุดท้ายที่ข้างหน้าจะถึงลานกางเตํนท์แล้วมุมที่อยากถามว่า 'เมื่อไหร่จะถึงวะ'ทางลงเขาสุดท้ายก่อนไปถึงลานกางเต๊นท์ส้วมหลุมและเพื่อนของเรามาถึงลานกางเต๊นท์แล้วประมาณบ่ายๆ ได้ ใครจ้างลูกหาบมาก็หายห่วงได้เลย เขามาจับจองกางเต๊นท์ให้เราเรียบร้อย เรามาถึงก็นอนพักได้เลย ระหว่างทางถ้าใครยังไม่ทานข้าวเที่ยงก็จัดกันให้เต็มที่ ก่อนเดินทางไปยอดเขาต่อ เวลาบ่ายแก่ๆ เจ้าหน้าที่จะเรียกให้เตรียมตัว เพื่อไปพิชิตยอดเขาช้างเผือก ส่วนใครที่จะไม่ไปยอดเขาก็ได้นะคะ นอนพักกันอยู่ที่ลานกางเต๊นท์เลยทางก่อนขึ้นไปยอดเขา จุดกางเต๊นท์สุดท้ายของพี่ๆ ทหารได้เวลาไป "สันคมมีดแล้ว"หลังจากนั่งพัก นอนพักกันจนหายเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาไปปีนป่าย ขึ้นเขาลงเขา ไต่เชือกกันต่อ เพื่อผ่านสันคมมีดไปยังยอดเขาช้างเผือก กับการเดินขึ้นเขาลงเขาในระยะทางเกือบๆ 2 กิโลเมตรจุดวัดใจ "สันคมมีด" อ่านรีวิวมาเหมือนเดิมว่าเป็นจุดอันตรายและหวาดเสียวที่สุด เป็นเพียงก้อนหินแคบ ไต่เชือกขึ้นไปได้ที่ละคนเท่านั้น เออ มันอันตรายจริงๆ แหละแกมันไม่มีอะไรเซฟเราเลยถ้าเราหลุดลงไปอ่ะ คงกลิ้งๆ ๆ ๆ ไปอยู่ตรงไหนไม่รู้ ต้องใช้ความระมัดระวังสูงภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตรงนั้น และปฎิบัติตามเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดกันด้วยนะคะ แต่ดูพวกพี่เขาสิ ยืนกันชิลเชียวล่ะ ฮ่าๆ สันคมมีดสำหรับเราไม่ได้น่าหวาดเสียวสักเท่าไหร่หรือเป็นเพราะว่าชอบวิวและที่สูงมั้งก็ไม่รู้ ฮ่าๆ แต่เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ได้มาสัมผัสสักครั้งกับวิวที่สวยงามและยากลำบากตรงนี้ถามพี่ลูกหาบว่าเคยมีคนตกลงไปไหม?- เขาบอกว่ามีแล้วเป็นอะไรมากไหม?- เขาก็บอกว่าหัวแตก แค่นั้นผ่านจุดสันคมมีดก็เดิน ขึ้นเขาลงเขากันไปอีกหลายลูก ตลอดเส้นทางการเดินก็ยังถูกปกคลุมด้วยหมอก หันกลับไปมองทางที่เดินมาสวยมากจริงๆ ถึงแม้จะมีหมอกบังอยู่บ้างก็ตาม แล้วบอกกับตัวเองว่าจะได้มีแรงเดินต่อกว่าจะถึงยอดเขาช้างเผือก มองเห็นเขาลูกสุดท้ายตรงหน้าที่ต้องขึ้นไป ยืนให้หายเหนื่อยสักพัก และบอกว่า 'ขึ้นไปตรงนั้นก็ถึงแล้ว'ยอดเขาช้างเผือก สูงๆ นั่นไง ไกลๆ ตรงนั้นแหละเขาลูกก่อนสุดท้ายที่ต้องขึ้นและลงและขึ้นไปตรงนี้อีกถึงแล้วจ้าาาาาเขาลูกข้างหลัง ที่พี่ทหารบอกว่าคือเขาช้างไพร ยอดเขาช้างเผือก กับความสูงกว่าหนึงพันสองร้อยเมตร เหนือระดับน้ำทะเล ระยะเวลาเดินเท้าจากบ้านอีต่อง 8 กิโลเมตร ลานโล่งกว้างมองเห็นทิวเขารายล้อม ถัดจากเขาช้างเผือก พี่ทหารบอกว่าข้างหน้านั่นเขาช้างไพร วิวตรงหน้าที่เห็นมีหมอกหนาๆ เป็นเส้นแบ่งทิวเขาเอาไว ทำให้มองเห็นวิวของฝั่งหนึ่งได้ชัดเจน ส่วนอีกฟากฝั่ง ช่วงหมอกจางๆ ลมแรงหน่อยที่จะพัดสายหมอกนี้ก็จะทำให้มองเห็นวิวของฝั่งนี้ ไกลลิบๆ ก็จะพอมองเห็นทะเลของฝั่งพม่าด้วย มีเวลาให้กดชัตเตอร์กันจนพอใจ และสูดอากาศดีๆ นั่งพักให้ลมกระทบหน้า ก่อนที่ตะวันจะตกดินไป ก็ถึงเวลาอำลายอดเขาแห่งนี้และเดินทางกลับสู่ลานกางเต๊นท์เดินกลับตรงที่เดินผ่านมา ระหว่างทางกลับไปยังลานกางเต๊นท์ เริ่มไม่เห็นหมอกแล้ว เรียกได้ว่าหมอกวันนี้ปกคลุมตลอดวันเลย แต่อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น ลมแรงขึ้น ใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะตกดินแล้วค่ำแล้วอากาศเริ่มเย็นลง ลูกหาบก็จะมีก่อกองไฟไว้ สามารถต้มน้ำ ต้มบะหมี่ หุงหาอาหารที่เตรียมมาได้เลย หรือใครจะเตรียมแก๊สพกพามาเองก็สะดวกดี มาม่าร้อนๆ กับอากาศเย็นๆ ช่างเข้ากันดี ดึกแล้วได้เวลานอนหลับ เก็บแรงไว้เดินทางลงเขาวันพรุ่งนี้กันด้วยนะ บ๊ายบายข้อควรระวัง ไม่ควรทานมากเกินความจำเป็น เดี๋ยวจะปวดหนักเอาและจะลำบาก จนต้องใช้ส้วมหลุม ฮ่ามื้อเย็นของเรา บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ไก่ทอด และอื่นๆแสงแรกของวันเช้าๆ อากาศดีๆ ลุกมาเดินเล่น ซะที่ไหนล่ะ! ปวดฉี่แบบต้องมาใช้บริการส้วมหลุมกันเลยทีเดียวล่ะ โชคดีที่ฟ้ายังไม่สว่าง และไม่มีคน ด้อมๆ มองๆ อยู่นาน เอาวะ! เข้าก็เข้า พกทิชชู่เปียกกันไปด้วยล่ะ สิ่งที่อัดอั้นมาก็ถูกปลดปล่อยไป สบายตัวล่ะ โชคดีที่ไม่ได้ปวดหนักแต่อย่างใด ฮ่าๆพระอาทิตย์เริ่มขึ้น ดวงดาวต่างๆเริ่มลาหายไปจากท้องฟ้า เหมือนบอกว่าได้เวลาที่เราต้องไปจากเขานี้แล้วนะ เมื่อล้างหน้าแปรงฟัน เรียบร้อยแล้ว ก็รองท้องกันด้วยขนมปังกับนมข้น เมื่อเราพร้อมแล้วลูกหาบก็จะช่วยเราเก็บเต๊นท์ และขนของเราที่ให้ลูกหาบแบกใส่กระสอบของเขา และเดินนำไปก่อนเราอีกเช่นเคยขากลับเดินแบบไม่มีหมอกแล้ว มองเห็นวิวที่ขามามองไม่เห็นได้อย่างสวยงามเราลงมาถึงบ้านอีต่องหาข้าวกินกัน แล้วเป็นสายโบกติดรถนักท่องเที่ยวใจดีกลับไปยังที่ทำการอุทยานฯ ค่ะ เอาเต๊นท์และผ้าห่มมาคืน ให้เรียบร้อย แล้วออกมาเป็นสายโบกเช่นเคย ติดรถกลับลงมายังตลาดทองผาภูมิโชคดีมากๆ ที่มีคนผ่านทางนี้พอดีค่ะหาที่พักสำหรับคืนสุดท้ายแถวๆ ตลาด อาบน้ำพักผ่อนกันก่อนกลับ กทม. บ๊ายบายนะ เขาช้างเผือกเขาช้างเผือก ในสายหมอก อีกหนึ่งประสบการณ์การเดินเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงคืนเดียว ขึ้นมาถึงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรทำนอกจากขึ้นมาดูเฉยๆ มาเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติ แต่สำหรับการได้ออกเดินทาง ได้ออกไปสัมผัส ได้ออกไปเจอ ได้ออกไปเห็น มากกว่าที่เราเคยเห็น มันก็คุ้มที่สุดแล้ว . .# ว่ า ง แ ล้ ว ไ ป ไ ห น .#อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ